วันนี้ เป็นวันแรกของ ชมรม ภาษาอังกฤษ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะบันทึกเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้คนอ่านได้ฝึกแปลและทำความเข้าใจ แต่เขียนๆไปเกรงว่า คนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษน้อยจะไม่เข้าใจ เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทยแทน เอาเป็นว่า จะคอยแทรก เป็นระยะๆก็แล้วกันเพื่อให้ค่อยๆปรับตัว
บทเรียนในวันนี้ ไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นวันแรก ทุกคนก็อาจจะกำลังปรับตัวกับกระบวนการเรียนการสอนอยู่ วันนี้ อยากจะขอเล่าซัก สองเรื่อง นะครับ
หนึ่ง เรื่องการออกเสียง และการสะกดคำของคนไทย จากประสบการณ์ของผมเอง น่าแปลกใจว่า เด็กนักเรียนสมัยนี้ จน มัธยมแล้วก็ยังอ่านหนังสือไม่ออกทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ งงมากๆ เคยให้นักเรียน มัธยมต้นโรงเรียนหนึ่ง อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ให้ฟัง ปรากฏว่า อ่านไม่ออก เป็นบางคำ บางคำเป็นคำง่ายๆ ถามดู ได้ความว่า คำที่อ่านไม่ออกเป็นคำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอ่านไม่ได้ ฟังดูเผินๆก็น่าจะโอเค อ้าว ก็ไม่เคยอ่านจะอ่านได้ไง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้า เราอ่านหนังสือออก คำที่ไม่เคยเห็นก็ต้องมีหลักในการผสมคำให้อ่านเป็นคำให้ได้
อย่างเช่น คำว่า ขนุน เราจะอ่านว่า ขะ-นุน หรือ ขะ-หนุน คนที่เคยเห็นคำนี้มาก่อน อ่านได้ทันทีว่า ขะ-หนุน ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้ารู้จักหลักการอ่านที่ถูกต้อง ก็จะสามารถอ่านได้ทันทีเช่นกัน ปัญหาจึงเกิดกับคนที่ไม่เคยเจอคำนี้มาก่อน และไม่รู้วิธีการอ่าน ก็จะอ่านไม่ออก ( ไม่เชื่อเอาคำนี้ไปลองให้เด็กที่อานไม่ออก ทดลองดูก็ได้ ) อีก คำตัวอย่างคือคำว่า พระพรหม คนที่อ่านภาษาไทยไม่ออก อยากให้ลองอ่านดูจริงๆ ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน มันก็มีหลักการอ่านเป็นคำ เป็นเสียงต่างๆ เอาอย่างนี้นะครับ วันนี้ เราได้เริ่มคุยกัน เกี่ยวกับเสียง สระในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีตัวอักษรที่เป็นสระ แบบที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆอยู่ 5 ตัว คือ A E I O U ซึ่งเราเคยถูกสอนมาตั้งแต่เล็กๆว่าอ่านว่า เอ อี ไอ โอ ยู ซึ่งไม่ผิดนะครับ เพราะนั่นคือ เสียงที่เราใช้เรียกตัวอักษรนั้นๆ พูดง่ายๆว่าเป็นชื่อตัวอักษรนั่นเอง แต่ว่าจริงๆแล้ว เสียงของมัน ขอเน้นว่า เสียงต้องออก ดังนี้ครับ
A ออกเสียงว่า แอะ
E ออกเสียงว่า เอะ
I ออกเสียงว่า อิ
O ออกเสียงว่า เอาะ
U ออกเสียงว่า อะ
กรุณาอย่าเพิ่งเถียงหรือบ่นอะไรทั้งสิ้น ว่าเฮ้ย ทำไม ไม่เหมือนที่เคยเรียนตอนเด็กๆ ใครบอกล่ะ ว่าไม่เหมือน เหมือนเปี๊ยบเลย เพราะว่า ชื่อเรียกว่า เอ อี ไอ โอ ยู ยังเหมือนเดิม เพียงแต่ เราจะมาคุยกันเรื่องเสียงสระต่างหาก คุณครูที่โรงเรียนอาจไม่เคยบอกต่างหาก วันนี้ เราเอามาบอกแล้ว รีบจดรีบจำซะนะครับ เพราะ อันนี้สำคัญสุดๆเลย เนื่องจากเป็นก้าวแรกในการหัดผสมคำให้อ่านได้อย่างถูกต้อง คำศัพท์ที่เราไม่เคยเห็น เราก็จะสามารถอ่านให้ถูกต้องได้ มากกว่า 95% ( ที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เพราะมันยังมีคำยกเว้นครับ ภาษาไทยเองยังมีเลย อย่าง พระพรหม ที่เรายกตัวอย่างไปเมื่อกี๊ไง แหม อชบจริงๆเลยคำนี้ เอามาพูดได้หลายที 555 เราจะมาดันทุรังอ่านว่า พระ พร หม ก็คงแปลกๆนะครับ ต้องอ่านว่า พระ-พรม จึงจะถูกต้อง )
วันนี้ เมื่อยมือแล้ว ขออนุญาตมาต่อวันหน้านะครับ ก่อนจบ ขอแทรกเรื่องการทักทายเป็นภาษาอังกฤษ อีกนิดนะครับ เพราะ คิดว่าบางท่านอาจยังไม่ทราบ
การทักทายในภาษาอังกฤษ มีวิธีการทักทายกันหลายแบบ ตามแต่ช่วงเวลา คล้ายๆกับภาษาไทย แต่เราอาจชอบพูดแค่คำว่า หวัดดี หรือ สวัสดี ส่วนภาษาอังกฤษ การทักทาย แบ่งตามช่วงเวลาที่เจอกัน แบบนี้ครับ
Good morning ใช้ในตอนเช้า ( ตั้งแต่ตื่นนอน จนถึง 11.59 น.)
Good afternoon ใช้ในตอนหลังเที่ยง ( ตั้งแต่ 12.01 น. เป็นต้นไป )
Good evening ใช้ในตอนเย็น ( เวลาไม่ค่อยแน่นอน เอาเป็นว่า ตั้งแต่ตอนเย็นๆ ไปจนดึกๆก็ยังใช้ได้อยู่ )
Good night เจ้านี่สำมะคัญ เพราะว่า เราคิดว่า เจอกันตอนดึก ต้อง Good night ไม่ใช่นะครับ คำนี้ เอาไว้พูดเวลา จากกัน ตอนกลางคืนเท่านั้น อย่าใช้สับกับ Good evening เป็นอันขาดล่ะ อายเค้าตายเลย
Hi! ใช้กับคนกันเอง ไม่เป็นทางการ
Hello! ใช้ได้ทั่วไป ไม่ค่อยทางการเท่าไหร่
ยกตัวอย่างการเวลาเจอกัน เช่น
Good morning. how are you?
อรุณสวัสดิ์ คุณสบายดีหรือ
How are you today?
วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง
What about you?
คุณเป็นอย่างไรบ้างล่ะ
Long time no see. how about you?
ไม่ได้เจอกันนานนะ คุณเป็นอย่างไรบ้าง
ทีนี้ เวลาตอบ เราก็ตอบได้หลากหลาย
I'm fine, thank you and you? อันนี้คนไทย ถนัด เพราะถูกสอนแบบนี้ มาแต่เด็ก รวมทั้งตัวผมเองด้วย 5555
ฉันสบายดี ขอบคุณครับ แล้วคุณล่ะ
I'm o.k.
ฉันสบายดี (ใช้ตอบสำหรับคนที่คุ้นเคยกัน)
Not bad.
ก็ไม่เลวนักหรอกครับ
Very well, thanks.
สบายดีเลยล่ะ ขอบใจ
So bad, I have got a cold.
แย่หน่อยครับ ผมเป็นหวัด
ตัวอย่างการสนทนา เช่น
A : Good morning, how are you?
สวัสดีครับ สบายดีหรือครับ
B : I'm not quite well.
ไม่ค่อยดีนักหรอกครับ
A : What's the matter?
มีเรื่องอะไรหรือครับ
B : I have a fever.
ผมมีไข้ครับ
A : I'm sorry to hear that.Why don't you go to see the doctor?
ผมเสียใจด้วยนะที่ได้ยินอย่างนั้น ทำไมคุณไม่ไปหาหมอล่ะ
B : I think maybe this afternoon.
ผมคิดว่าบางทีอาจเป็นบ่ายนี้ล่ะครับ
A : I hope you get better soon.
ผมหวังว่าคุณคงสบายดีขั้นเร็ว ๆ นี้นะครับ
B : Thank you. Where're you going?
ขอบคุณครับ แล้วคุณกำลังจะไปไหนครับ
A : I'm going to the office.
ผมกำลังจะไปที่ทำงาน
B : Well, have a nice day.
งั้น ก็ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะ
A : Thank, see you later.
ขอบคุณ แล้วพบกันใหม่นะครับ
B : Bye!
ลาก่อนครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น