วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เอาเพลงมาฝากจ้า
http://www.mediafire.com/?sharekey=5507b5f4504eb09cd6baebe61b361f7cb26ed123b70f509cc95965eaa7bc68bc
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552
แนะแนว แบบทดสอบวัดความรู้ October 2009
http://www.mediafire.com/download.php?d2awlfunmgm
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
รวม Links รู้ทันสันดาน Tense ฉบับย่อ มีประโยชน์มากๆ ขอบอก
http://www.mediafire.com/download.php?gmmylyvejxt
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Learning English from the Music Video 1
http://www.mediafire.com/download.php?ejqztmwxu1n
เนื้อเพลงนะครับ
The Show ( Lenka )
I'm just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don't know where to go
I can't do it alone, I've tried
And I don't know why
Slow it down
Make it stop
Or else my heart is going to pop
'Cause it's too much
Yeah, it's a lot
To be something I'm not
I'm a fool
Out of love
'Cause I just can't get enough
I'm just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don't know where to go
I can't do it alone, I've tried
And I don't know why
I'm just a little girl lost in the moment
I'm so scared but I don't show it
I can't figure it out
It's bringing me down I know
I've got to let it go
And just enjoy the show
The sun is hot
In the sky
Just like a giant spotlight
The people follow the sign
And synchronize in time
It's a joke
Nobody knows
They've got a ticket to that show
I'm just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
I can't do it alone, I've tried
And I don't know why
I'm just a little girl lost in the moment
I'm so scared but I don't show it
I can't figure it out
It's bringing me down I know
I've got to let it go
And just enjoy the show
Just enjoy the show
I'm just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
I can't do it alone, I've tried
And I don't know why
I'm just a little girl lost in the moment
I'm so scared but I don't show it
I can't figure it out
It's bringing me down I know
I've got to let it go
And just enjoy the show
Just enjoy the show
Just enjoy the show
I want my money back
I want my money back
I want my money back
Just enjoy the show
I want my money back
I want my money back
I want my money back
Just enjoy the show
คำแปล
ฉันก็แค่สับสนกับชีวิตนิดหน่อย
ชีวิตเหมือนกับเขาวงกต และรักก็ราวกับปริศนาปรัศนีย์
ฉันไม่รู้ว่าควรจะไปทิศทางไหนดี
ฉันแก้ปัญหาคนเดียวไม่ไหวหรอก ฉันพยายามแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
ช่วยชะลอลงหน่อยเถอะ
หยุดมันที
ไม่อย่างนั้น หัวใจของฉันต้องระเบิดแน่ๆ
เพราะว่ามันมากเกินไป
ใช่ มันเยอะเกินจะรับมือไหว
กับการที่ต้องเป็นในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นจริงๆ
ในแง่ความรัก จะว่าฉันโง่ งี่เง่าก็ได้
เพราะ ทำยังไงๆ ฉันก็ไม่อาจเติมเต็มความต้องการฉันเองได้ซักที
ฉันมันก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้ จับต้นชนปลาย ไม่ถูก
ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว แต่ฉันไม่แสดงออกหรอก
ฉันแก้ไขปัญหาไม่ได้
ปัญหานี้มันทำให้ฉันรู้สึกแย่ ฉันรู้ตัวดี
ฉันคงต้องปล่อยวางทุกอย่าง
และแค่สนุกกับละครต่อไป
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าอยู่กลางนภา
ราวกับสปอตไลท์ขนาดมหึมา
ผู้คนต่างเดินไปตาม เครื่องหมาย สัญญาณ ที่สังคมกำหนดขึ้น
อย่างพร้อมเพรียง ราวกับเป็นท่วงทำนองเดียวกัน
ฉันว่ามันตลกดี ที่ไม่ยักมีใครสังเกตเห็น
พวกเขาต่างก็ถือตั๋วดูละครเรื่องนี้
สนุกกับละครตรงหน้า
แค่สนุกกับละครตรงหน้า
ฉันอยากได้เงินคืน
ฉันอยากได้เงินคืน
ฉันอยากได้เงินคืน
แค่สนุกกับละครตรงหน้าไปเถอะน่า
ฟังแล้วคิดตามไปด้วยนะว่า เขาพยายามจะบอกอะไรเรา
ส่วนคนที่ดู Music Video แล้ว เสียงไม่ค่อยชัดเพราะคุณภาพเสียงไม่ดี สามารถ ดางโหลด MP3 ไปฟังได้ ตาม Link นี้นะครับ
http://www.mediafire.com/file/mnwjwmz5t24/Lenka%20-%20The%20Show.mp3
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Learn English from the lyrics 1
http://www.mediafire.com/download.php?14jynagyjmz
"Home" Michael Buble
Another summer day has come and gone away
In Paris and Rome but I wanna go home Mmmmmmmm
May be surrounded by a million people I still feel all alone
I just wanna go home Oh, I miss you, you know
And I’ve been keeping all the letters that I wrote to you
Each one a line or two “I’m fine baby, how are you?”
Well ,I would send them but I know that it’s just not enough
My words were cold and flat and you deserve more than that
Another aeroplane Another sunny place I’m lucky, I know
But I wanna go home Mmmm, I’ve got to go home
Let me go home I’m just too far from where you are I wanna come home
And I feel just like I’m living someone else’s life
It’s like I just stepped outside when everything was going right
And I know just why you could not come along with me
'Cause this was not your dream but you always believed in me
Another winter day has come and gone away
In even Paris and Rome and I wanna go home Let me go home
And I’m surrounded by a million people I still feel all alone .Oh, let me go home
Oh, I miss you, you know
Let me go home I’ve had my run Baby, I’m done I gotta go home
Let me go home It‘ll all be all right I’ll be home tonight I’m coming back home
คำแปล
วันของฤดูร้อนก็ผ่านไปอีกวัน ไม่ว่าจะในปารีสและกรุงโรม
แต่ฉันอยากกลับบ้าน
ถึงแม้จะมีผู้คนนับล้านรายล้อมอยู่รอบตัวฉัน
แต่กระนั้นฉันก็ยังรู้สึกเปลี่ยวเหงา
ฉันเพียงอยากกลับบ้าน ฉันคิดถึงคุณนะ คุณก็รู้
ฉันยังคงเก็บรักษาจดหมายทุกฉบับที่ฉันเขียนถึงคุณ
มีประโยคที่ฉันมักเขียนไว้ หนึ่งหรือ สองบรรทัด ในแต่ละฉบับ
ที่รัก ฉันสบายดีนะ แล้วคุณล่ะ เป็นไงบ้าง?
ฉันน่าจะได้ส่งจดหมายเหล่านั้น
แต่ก็รู้ดีว่านั่นมันไม่เพียงพอหรอก
ถ้อยคำของฉันอาจดูเย็นชาและทื่อๆ
แต่ฉันรู้ว่า คุณน่ะ คู่ควร กับสิ่งที่มีค่า มากกว่านั้น
เครื่องบินลำแล้วลำเล่า ก้าวไป สู่แดนดินแห่งดวงตะวันสาดแสงแห่งใหม่
ฉันรู้ว่า ตัวฉันเองโชคดี
แต่ฉันอยากจะกลับบ้าน
ฉันต้องกลับบ้านให้ได้...
ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะ
ฉันไกลห่างจากคุณเหลือเกิน
ฉันอยากกลับไปหา...
รู้สึกราวกับว่าฉันอาศัยอยู่ในร่างของใคซักคนหนึ่ง
ประดุจตัวเองก้าวจากมา ทั้งๆที่ทุกอย่างก็ดูลงตัวหมดแล้ว
ฉันเองรู้อยู่เต็มอก ว่าเพราะสาเหตุใด คุณจึงไม่อาจร่วมเดินไปกับฉันได้ก็เพราะว่านี่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของคุณ
แต่คุณก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวฉันเสมอ
วันของฤดูหนาวก็ผ่านไปอีกวัน ไม่ว่าจะในปารีสและกรุงโรม
แต่ฉันอยากกลับบ้าน ให้ฉันได้กลับบ้านเถอะ
ถึงแม้จะมีผู้คนนับล้านรายล้อมอยู่รอบตัวฉัน
แต่กระนั้นฉันก็ยังรู้สึกเปลี่ยวเหงา
ฉันเพียงอยากกลับบ้าน ฉันคิดถึงคุณนะ คุณก็รู้
ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะ ฉันมาได้ไกลมากแล้ว คนดี ฉันทำได้แล้ว คงต้องกลับบ้านเสียที
ขอให้ฉันได้กลับไป ก็คงจะดีนะ หากค่ำคืนนี้ที่ฉันจะได้อยู่บ้าน ฉันจะกลับบ้าน ....
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Preposition
Prepositions มี 3 ประเภท
1. Prepositions of Time เป็นคำบุพบทที่ใช้บอกเกี่ยวกับเวลา คำที่มักใช้บ่อยคือ at , on , in ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้ ยกตัวอย่างเช่น
a.in ใช้กับ เดือน ปี ฤดูกาลและช่วงเวลา เช้า บ่าย เย็น ตัวอย่างเช่น
The weather is really cold in January.
อากาศมันหนาวจริงๆเลยนะในเดือนมกราคม
We usually go to see our grandparents in summer.
เราไปเยี่ยม คุณตาคุณยาย ในฤดูร้อนเป็นประจำเลย
He was born in 1990.
เขาเกิดในปี 1990
They get up very early in the morning.
พวกเขาตื่นนอนเช้ามากๆ
หมายเหตุ ในกรณีที่วัน เดือน ปี หรือฤดูกาลต่างๆ มีคำมาขยายข้างหน้าแล้ว เช่น last Sunday , next Summer , this afternoon เป็นต้น เราจะไม่ใช้ in , on หรือ at นำหน้าอีก ตัวอย่างเช่น
I saw her last Tuesday. ฉันเจอเธอเมื่ออังคารที่แล้ว
She will be sixteen next month. เธอจะอายุสิบหกเดือนหน้า
คำที่บอกวันได้แก่ today , yesterday , tomorrowทั้งสามคำนี้ไม่ต้องมีคำบุพบทนำหน้าอีก ตัวอย่างเช่น
I will call you tomorrow. ฉันจะโทรหาเธอพรุ่งนี้นะ
b.on ใช้กับวัน และวันสำคัญ ใช้กับวันของสัปดาห์หรือวันที่ของเดือนรวมทั้งวันหยุดต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น
The students study English on Friday.
พวกนักเรียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษในวันศุกร์
I will give you a nice gift on Christmas Day.
ฉันจะให้ของขวัญดีดีกับเธอในวันคริสต์มาส
c.at ใช้กับ เวลา ( บอกเวลาตามนาฬิกาบอกช่วงของเวลา จุดย่อย ๆ ของเวลา วันหรือระยะเวลาที่เป็นเทศกาลประจำปี)
We enjoy seeing movies at midnight.
พวกเราชอบดูหนังตอนเที่ยงคืน
Khun Toi always goes home at five thirty.
คุณต้อยมักจะกลับบ้านตอน 5.30 น.
2. Prepositions of Place ( คำบุพบทบอกสถานที่ )
a.in ใน , อยู่ใน ใช้ระบุถึง "ภายใน" ของสถานที่ ตัวอย่างเช่น
We live in Bangkok.
พวกเราอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
Look !!! The eagle is in that cage.
ดูสิ นกอินทรีอยู่ในกรงนั้นแน่ะ
Your father is sleeping in that room.
พ่อของเธอนอนอยูในห้องนั้นแน่ะ
You shouldn't talk in the library.
เธอไม่ควรคุยในห้องสมุดนะ
b.on บน , อยู่บน ใช้ระบุถึงตำแหน่งว่าอยู่ "บน" หรือ "ริม" ของสถานที่ ตัวอย่างเช่น
My book is on the red chair.
หนังสือของฉันอยู่บนเก้าอี้สีแดงนั่น
Please look at the picture on the wall.
ช่วยดูรูปภาพบนฝาผนังนั่นทีซิ
She has been on the road for more than one hour.
เธออยู่บนท้องถนนมานานกว่าชั่วโมงแล้ว
Bangkok is on the left bank of the Chao Phraya River.
กรุงเทพมหานครตั้อยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา
c.at ที่ , อยู่ที่ ใช้ระบุตำแหน่งของสถานที่เป็นจุดย่อย ๆ เช่น ที่ร้านค้า ที่โรงเรียน ที่สนามบินและใช้กับบ้านเลขที่ ตัวอย่างเช่น
There are so many taxis at the entrance of GHB.
มีแท็กซี่เยอะแยะเลยที่ทางเข้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์
Do you work at GHB?
พวกคุณทำงานที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์เหรอ
I live at 456 ,New Road, Bangrak.
ฉันอยู่ที่บ้านเลขที่ 456 ถนนเจริญกรุง บางรัก จ้า
I has been waiting for you at the hotel.
ฉันรอเธออยู่ที่โรงแรมมาตั้งนานแล้ว
3. Prepositions อื่นๆ ( คำบุพบทอื่นๆ )
a.under ล่าง , ข้างล่าง , ใต้ , ข้างใต้
P’ Lek is sitting under that big tree.
พี่เล็กกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่น
b.with ด้วย , กับ
She sings beautifully with her wonderful voice.
เธอร้องเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งด้วยเสียงที่มหัศจรรย์ของเธอ
c.by โดย
Why don’t we go to Chiengmai by plane?
ทำไมเราไม่ไปเชียงใหม่โดยเครื่องบินล่ะ
d.To ใช้ระบุถึงจุดหมายปลายทางหรือผู้รับที่เป็นชื่อบุคคลหรือสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรม ตัวอย่างเช่น
I will go to USA next year.
ฉันจะไป อเมริกา ปีหน้า
They made a visit to the museum.
พวกเขาได้เดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
Past Simple Continuous Tense
Subject ประธาน + was, were + Verb 1 + ing ใช้เมื่อผู้พูดต้องการบรรยาย เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตและทุกอย่างได้จบสิ้นไปหมดแล้วขณะที่พูด
Past Simple Tense : โครงสร้างประโยคจะประกอบด้วย
Subject ประธาน + Verb 2 ใช้เมื่อผู้พูดต้องการบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบไปเรียบร้อยแล้ว หรือ เมื่อใช้คู่กับ Past Simple Continuous Tense จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดแทรกขึ้นมาในขณะที่มีเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดอยู่ในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น
1. I was walking when the bus arrived. ฉันกำลังเดินอยู่ ขณะนั้น รถเมล์ก็มา ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขึ้นก่อนคือ ฉันกำลังเดินอยู่ดีดี ให้ใช้ Past Simple Continuous ส่วนอยู่ๆ รถเมล์ก็มา รถเมล์มาทีหลังจะใช้ Past Simple เพื่อให้คนฟังเข้าใจว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง โดยไม่งง ฟังทีเดียว ประโยคเดียว ก็รู้เรื่องหมดทุกอย่าง ไม่เยิ่นเย้อ แต่คนพูด คิดแทบตาย 5555 ไม่หรอก สักพักนึง พอเราเริ่มชิน ไอ้ คำพูดพวกนี้มันก็จะพรั่งพรูออกมาเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกลัวนะครับ )
2. She was sleeping in the bedroom when the thief came in . เธอกำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอน ในขณะที่โจรเข้าไปในบ้าน ( ไหน ลองคิดดูซิ ว่าอะไรเกิดก่อน แน่นอนที่สุด เธอต้องเข้าไปนอนในห้องนอนก่อนแหงๆ ก็เลยต้องใช้ Past Simple Continuous ส่วนในขณะที่โจรเข้าไปในบ้าน โจรนั้นเข้ามาทีหลังจึงต้องใช้ Past Simple ไง )
3. P’ Aui was having dinner while I was playing football outside. ในขณะที่พี่อุ้ยกำลังทานอาหารเย็นอยู่นั้น ฉันก็กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ขางนอกโน่น ( กรณีนี้ เราใช้คำ While เป็นตัวเชื่อมประโยค สอง ประโยค ที่เหตุการณ์ดำเนินไปพร้อมๆกัน เหตุการณ์แรกคือ พี่อุ้ยกำลังกินข้าว เหตุการณ์ที่สองคือ ฉันกำลังเตะบอล จะเห็นได้ว่า สองเหตุการณ์เกิดขนานกันไป ซึ่ง โดยปกติแล้ว While นี้ สามารถ เป็นคำเชื่อมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้ ทั้ง Past simple และ Present Simple ยกตัวอย่างกรณีที่เป็นปัจจุบันก็เช่น I am going to school while my mother is sleeping . ตอนนี้ฉันกำลังไปโรงเรียน ส่วนแม่ฉันก็กำลังนอนอยู่ เป็นต้น ง่ายมั๊ยล่ะ
4. While Tor was playing the piano ,I walked in. ขณะที่ต่อกำลังเล่นเปียโนอยู่นั้น ฉันก็เดินเข้ามา ( กรณ๊นี้ แสดงให้เห็นว่า เราสามารถบรรยาย เหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันได้ โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนนั้น จะมี While นำหน้าประโยค เพื่อให้รู้ว่า เหตุการณ์นั้นเกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ในอดีต จู่ๆก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรก ตามตัวอย่าง
5. What were you saying when the English class started ? เอ๊ะ ตอนนั้นคุณกำลังพูดอะไรอยู่นะ ตอนที่วิชาภาษาอังกฤษเริ่มน่ะ ( อันนี้ ลองคิดดูซิว่า อะไรเกิดก่อน เกิดหลัง )
เอาล่ะ ทีนี้ เรามาดูหลักการใช้กัน
1. เราจะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นตอนที่พูด ทุกอย่างจบไปหมดแล้ว แต่ผู้พูดมีเวลาในอดีตที่บ่งไว้อย่างชัดเจน เช่น
- They were speaking English with me at eleven o'clock yesterday. พวกเค้ากำลังคุยกับฉันเป็นภาษาอังกฤษอยู่กับฉันตอน สิบเอ็ดโมงเมื่อวานนี้
- At ten o'clock last night we were watching news on television. เมื่อคืนตอนสี่ทุ่ม พวกเรากำลังดูข่าวในทีวีอยู่
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินพร้อมกันอยู่ในอดีต เป็นเวลานานพอสมควร ในช่วงเวลาเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้ เราจะใช้ past continuous กับทั้งสองเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น
- The GHB students were thinking about their lunch while the teacher was explaining new grammar. นักเรียน ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำลังคิดถึงเกี่ยวกับอาหารเที่ยง ในขณะที่คุณครูเองก็กำลังสอนเกี่ยวกับเรื่อง ไวยากรณ์หัวข้อใหม่ ( อันนี้สาบานได้ว่า ไม่ได้เอาเหตุการณ์จริงมาเล่านะ ยกขึ้นมาลอยๆ 55555 ) อธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Two long actions were happening at the same time in the past เท่มั๊ยล่ะ 555
- She was singing as I was dancing on the floor. As ในที่นี้ หมายความว่า ขณะที่ ดังนั้น ประโยคนี้ จึงหมายความว่า เธอกำลังร้องเพลงอยู่ ในขณะที่ฉันเองก็กำลังดิ้นอยู่บนฟลอนั่นเอง สังเกตดูนะว่า ทุกตัวอย่างที่ยกมานั้น เหตุการณ์ต่างๆ จะต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่ง เสมอ จึงจะสามารถใช้ Continuous ได้ การกระพริบตาหนึ่งครั้ง จะไม่สามารถใช้ Continuous ได้โดยเด็ดขาด เพราะใช้เวลาสั้นมากๆ ตรงนี้ เราจะเอาไว้ขยายความกันอีกทีในห้องเรียน ในกรณีที่ยังไม่เข้าใจ
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆ เข้ามาแทรก แหม ต้องขออธิบายเป็นภาษาอังกฤษหน่อยละกัน The first action was happening when the second ,shorter action happened.
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ตอนนั้นให้ใช้ past continuous
เหตุการณ์สั้นๆ ที่เข้ามาแทรก ให้ใช้ past simple อันนี้เคยเล่าไปแล้วตอนต้นไง ยกตัวอย่างเช่น
- The students laughed at him while he was acting like a clown.
นักเรียนทั้งหลายหัวเราะเขา ในขณะที่เขากำลังทำท่าทางเหมือนตัวตลก
- When I came home yesterday, my mother was talking on the telephone. ตอนที่ฉันถึงบ้านเมื่อวานนี้น่ะนะ แม่ฉันก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เลย
- While/As I was walking past the Soi , I heard a very loud scream. ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านซอยนะ ฉันก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังมากๆเลย
ข้อสังเกตนะครับ Clause ที่ตามหลัง when (แปลว่า เมื่อ หรือ ตอนที่ ก็ได้ แล้วแต่โอกาส ) มักใช้ past simple ส่วน clause ที่ตามหลัง while ,as ( แปลว่า ในขณะที่ )มักใช้ past continuous
4. ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำซากในอดีต ในเวลาที่บ่งไว้ชัดเจน
- Last year he was working until 9.00 pm. every day. ปีที่แล้วเนี่ยนะ เค้าทำงานยันสามทุ่มทุกวันเลย
- We were visiting my parents every evening while we were in Bangkok. เราไปเยี่ยมพ่อแม่เราทุกเย็นเลยนะ ตอนที่เราอยู่กรุงเทพ
สำหรับสองตัวอย่าง นี้ ถ้าเราขี้เกียจใช้ Past con ตำรวจก็ไม่จับนะ อยากใช้แค่ Past simple ก็ได้ ไม่มีใครว่าครับ เป็นแบบนี้ก็ได้ เช่น last year he worked until 9.00 pm. everyday . เพราะมีความหมายเหมือนกับรูปประโยคที่ใช้ past simple Continuous และเรานิยมใช้กับ past simple มากกว่าด้วย เพราะฉะนั้น เอาแบบง่ายเข้าว่าก็น่าจะดี 5555
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
Adverbs 1
Adverbs (คำกริยาวิเศษณ์) ก็คือ คำที่ใช้ขยายคำกริยา (verb) , ขยายคุณศัพท์ (adjective) และขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverb) หรือตัวมันเอง ก็ได้ ( แหม ประโยชน์เยอะจัง ลองเปรียบเทียบกับคำคุณศัพท์ หรือ Adjective คำคุณศัพท์ใช้ขยายแค่คำนามเท่านั้น จำกันได้มั๊ยเนี่ย )
หน้าที่ของ Adverb
1. ใช้ขยายคำกริยา (verbs) เช่น
She eats greedily. (เธอกินแบบตะกละตะกลาม ขยายว่า กิริยาอาการกินของเธอนั้น กินแบบไหน)
2. ใช้ขยายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
She is very beautiful. ( เธอสวยมากๆ ขยายให้คนฟังรู้ว่า ที่สวยนั้น สวยแค่ไหน)
3. ใช้ขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) ด้วยกันเอง เช่น
That boy runs very quickly. ( เด็กชายคนนั้นวิ่งเร็วมาก คนพูดอยากให้คนฟังรู้ว่า เด็กคนนั้นวิ่งเร็วแค่ไหน )
ชนิดของ Adverb
1. Adverb of Manner เป็น adverb ที่บอกอาการหรือลักษณะการกระทำ ใช้ตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย How? (อย่างไร ) เช่น hard = หนัก , fast = อย่างเร็ว , beautifully = อย่างสวยงาม , happily = อย่างมีความสุข เป็นต้น ( แนะนำว่า เวลาแปลเป็นภาษาไทย เรามักใส่คำว่า อย่าง หรือ โดยเข้าไปข้างหน้า จะทำให้ได้ใจความสละสลวยมากขึ้น ) ทีนี้ก็มาถึง ตำแหน่งของมันในประโยค ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง ตำแหน่งที่นิยมกันคือ
1. หลัง Verb หรือคำกริยา เช่น It moves quickly. ( มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
2. หลัง Direct Object หรือกรรมตรง เช่น He looks at me angrily. ( เขาจ้องมองดูฉันอย่างโกรธๆ )
หมายเหตุ ที่มาของ Adverb of Manner ก็ได้มาจากการเติม -ly ข้างท้าย adjective แต่ถ้า adjective ตัวนั้นลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a , e , i ,o , u ก็ให้เปลี่ยน y เป็น i ก่อนแล้วจึงเติม –ly เช่น Happy หน้า Y เป็นพยัญชนะ หาใช่สระไม่ ( แหม สำนวน เน่าจริงๆ 55555 ) ก็ให้เปลี่ยน Y ให้เป็น i ก่อน แล้วค่อย เติม Ly กลายเป็น Happily
แต่ก็มีคำยกเว้นบางคำเช่น good ไม่ใช่ Goodly นะ แต่ต้องจำไว้ว่า ให้ใช้คำว่า well แทน
และอีกอย่าง คำบางคำที่เป็นได้ทั้ง adjective และ adverb เช่น hard , fast , late , early , last , straight เป็นต้น
2. Adverb of Degree บอกระดับความเข้มข้น เช่น very = มาก , quite , pretty = ค่อนข้าง หรือ ทีเดียว , rather = มากกว่าที่จะ หรือ ค่อนข้างที่จะ , almost = เกือบจะทั้งหมด หรือ เกือบจะ , extremely = อย่างยิ่ง สุดๆ , too = มากเกินไป ส่วนตำแหน่งในประโยคนั้น นิยมใช้ดังนี้
1. วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ ( Adjective ) เช่น It's very cold. ( แหม มันหนาวจัง )
2. วางไว้หน้าคำวิเศษณ์ ( adverb ) เช่น She sings extremely nicely. ( เธอร้องเพลงได้เพราะสุดๆ ไปเลย ) เป็นต้น
3. Adverb of Place ใช้บอกตำแหน่ง เช่น up , down , here , there เป็นต้น
ตัวอย่างประโยค -- Khun Toom came here last week. (วางอยู่หลังคำกริยา came )
4. Adverb of Frequency ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes ที่สามารถอยู่ต้นประโยคได้
เช่น always มักจะ หรือ เสมอๆ ,usually เป็นประจำ , often บ่อยๆ , sometimes บางครั้ง, seldom นานๆครั้ง , never ไม่เคย
Examples: Khun Nut always goes to office early. ( คุณนัท มักจะไปที่ทำงานแต่เช้า )
Khun Mol usually has dinner at 6.( คุณมล ทานเข้าเย็น ตอนหกโมงเย็นเป็นประจำ เราสามารถพูดแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเติมคำว่า am pm เพราะเราเข้าใจว่าผู้ฟังน่าจะฉลาดพอที่จะเข้าใจได้ว่า เป็นเวลาไหนของวัน)
5. Adverb of time บอกจุด หรือ ช่วงของเวลา เช่น Tonight (คืนนี้) , during summer (ระหว่างฤดูร้อน) , early (แต่เช้าตรู) , tomorrow (พรุ่งนี้) , yesterday (เมื่อวานนี้) , soon (ในไม่ช้า) เป็นต้น สำหรับตำแหน่งในประโยค ก็เช่น ไว้ท้ายประโยค I will go to Chiengmai next month. หรือวางไว้ต้นประโยค เมื่อต้องการเน้น เช่น Tomorrow I am going to tell you the truth.
วันนี้ ขอเท่านี้ก่อนนะครับ บาย
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552
Phonics วันที่ 17 เมษายน 2552 ต่อ
เสียง ch จะเป็นเสียง เชอะ ( สั้นและหนัก ) ซึ่งต่างกับเสียง sh คือเสียง ชู ( ยาวและเบา ) อย่างที่เราทำกันในห้องเรียน พูดง่ายๆก็คือ เสียง Ch เทียบได้ประมาณกับเสียง ช ช้าง หรือ ฉ ฉิ่ง ในภาษาไทย แต่เสียง Sh จะคล้ายกับเสียง ชชชชช เวลาที่เราพาเด็กไปฉี่ แล้วทำเสียงแบบนั้น ยังไงยังงั้นเลย
ลองออกเสียงคำเหล่านี้ดูนะครับ
chew ( ชู ) shoe ( ชชู )
cheap ( ชีพพ ) sheep ( ชชีพพ )
chair ( แชร์ ) share ( แชชร์ )
change ( เชนจ ) shape ( เชชพพ )
cheese ( ชีส ) sheet ( ชชีทท )
ส่วน เสียงph นั้น อาจพูดได้ว่าเสียงของ ph กับ f ( เฟอะ หรือ เฝอะ ) คือเสียงเดียวกัน ลองออกเสียงคำว่า phone ( โฟน ) photograph ( ฟ้อถอะกราฟ )
เสียง sq เสียงที่เปล่งออกมาจะเป็นเสียง สเควอะ ให้ทดลองออกเสียงคำเหล่านี้ เช่น squeeze ( สควีซซ ) squirrel ( สเควอเรล ) square ( สแควร์ ) squash ( สควอชช ) คำนี้อย่าลืมทำเสียง ชชช ยาวๆด้วยล่ะ 5555
อย่าลืมนะครับว่า คำเหล่านี้เวลาออกเสียง เราต้องออกเสียงทั้ง s และ q ซึ่งเราจะได้เสียงว่า สะ-เควอะ ของทุกๆ คำ สังเกตดูสิ Q กับ U ชอบอยู่ด้วยกัน ร้อยละ 90 เลยแหละจะมีที่ไม่อยู่ติดกันน้อยมาก อย่างเช่นคำว่า Qantas ที่เป็นชื่อสายการบินไง แต่ยังไงซะ เราก็ออกเสียงว่า แควนทัส อยู่ดี
เสียง th ละ เจ้าเสียง th นี่มันเป็นเสียงที่เราไม่สามารถเทียบได้กับภาษาไทยได้เลย เพราะภาษาไทยเราไม่มีเสียงนี้ เหมือนกับ ภาษาอังกฤษไม่มีเสียง ง งู อ่ะ ดังนั้น ถ้าเราต้องการออกเสียง th ให้ถูกต้องนั้น ลิ้นของเราจะต้องอยู่ระหว่างฟันและมีลมแทรกผ่านออกมา ( อาจทำได้ยากหน่อย แต่ถ้าพยายามก็เห็นทำกันได้ทุกคน เสียงที่ได้คล้าย ด เด็ก ผสมกับ ท ทหาร ผสม กับ ส เสือ แหม ก็นะ พูดไปแลบลิ้นไ ปเสียงก็เลยเป็นแบบนี้แหละ 5555 เช่น Thursday thumb thing think thunder เป็นต้น
เหนื่อยละสิ คนเขียนก็เหนื่อยเหมือนกัน งั้นพอแค่นี้ก่อน นะ วันนี้ ยังไม่เข้าที่เลย หยุดมานาน 55555
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552
Basic Sentence Structure วันที่ 3 เมษายน 2552
โครงสร้างประโยค ที่ใช้กับกริยาทั่วๆ ไป Present Simple Tense เป็นตามตารางนี้นะครับ
หมายเหตุ : เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ กริยาแท้ในประโยค ต้องเติม s หรือ es ส่วนการใช้ Do หรือ Does ขึ้นอยู่กับประธาน ถ้าประธานเป็น I, You, We, They หรือพหูพจน์ ให้ใช้ Do หรือ don't ในประโยคปฏิเสธ แต่ถ้าประธานเป็น He, She, It หรือเอกพจน์ให้ใช้ Does หรือ doesn't ในประโยคปฏิเสธนะครับ
เราจะใช้ Tense นี้เมื่อกล่าวถึง
1. การกระทำ หรือ เหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ
The sun rises in the east.
The moon shines at night.
The earth goes round the sun.
Dog have four legs.
2. การกระทำที่ทำเป็นประจำ หรือเป็นนิสัย
The baby cries every night.
They do not walk to school every day.
ทีนี้ เราก็มาดูเรื่องกฎการเติม S ท้ายคำกริยา ถ้าเป็นกริยาทั่วไป ให้ +S เช่น eat – eats , work - works , know – knows , sit – sits เป็นต้น
แต่ถ้า เป็นคำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, o ให้ +es เช่น pass- passes , teach – teaches , box- boxes ,push- pushes , go-goes เป็นต้น
ส่วนกริยาที่ลงท้ายด้วย y ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้ +s ได้เลย เช่น say – says , Play – plays แต่ถ้าหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i ก่อนแล้วถึงเติม es เช่น fly – flies , cry – cries เป็นต้น
นี่แหละครับ เป็นการอธิบายที่ง่ายที่สุดแล้ว อ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ถามได้นะครับ ถ้าถามแล้วยังไม่เข้าใจ ทำยังไงก็ไม่เข้าใจ สงสัยต้องตัวใครตัวมันแล้วนะครับ 555555
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552
Pronouns 2 ( วันที่ 1 เมษายน 2552 )
2. Possessive Pronouns ( สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ ) คือสรรพนามที่คนสื่อสาร ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่ง ได้แก่คำต่อไปนี้ครับ ( มี 6 ตัวนะครับ its ไม่มีนะครับ )
mine, yours, ours, theirs , his, hers
The thickest book is mine. หนังสือเล่มที่หนาที่สุดเป็นของฉัน
This vase is yours. แจกันใบนี้เป็นของคุณ
My parcel is coming today, Theirs will be delivered tomorrow. พัสดุของฉันจะมาถึงวันนี้ แต่ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
There are many balls in this room, Ours is the green one on the table . มีลูกบอลเยอะแยะเลยในห้องนี้ ของพวกเราคือลูกบอลสีเขียวลูกนั้นที่อยู่บนโต๊ะ
จะเห็นได้ว่า possessive pronouns มีความหมายเหมือนกับ possessive adjectives grup’แต่หลักการใช้ต่างกันตรงที่ possessive pronouns จะไม่มีคำนามมาต่อท้ายแล้ว ส่วน possessive adjectives จะต้องมีคำนามมาต่อท้ายเสมอ เช่น
This is my house.
นี่คือบ้านของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย house )
This house is mine.
บ้านนี้เป็นของฉัน ( mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ ( complement) ของคำกริยา is ไม่ต้องมีคำนามอะไรมาต่อท้ายอีกแล้ว)
วันนี้ สั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้เองครับ ไม่มีอะไรลึกซึ้ง ให้คิดมากมาย แค่จำให้ได้ก็พอ ส่วนใหญ่เรามักจะเผลออ่ะครับ 55555
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
ฝึก Listening ยังไงดีถึงจะเข้าใจภาษาอังกฤษ ( 30 มีนาคม 2552 )
วันนี้ก็โดนถามอีกแล้ว ว่าทำไงถึงจะเก่งภาษาอังกฤษ วันนี้ก็ขอเริ่มต้นแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา หลักง่ายๆที่ผมใช้คือหลักของพระพุทธเจ้านะครับ คือให้หลัก อิทธิบาท 4 จริงๆแล้วก็เป็นหลักสากลในการที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จนะครับ หลักง่ายๆมี ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้นๆ วิริยะ ความพากเพียรทำในสิ่งนั้นๆ จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้นๆ วิมังสา คือ ความหมั่นความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน แค่ข้อแรก เราก็แย่แล้ว เพราะว่า ลองถามตัวเองดูสิ ว่า เรามีความพอใจรักใคร่ในภาษาอังกฤษ หรือ อยากเก่งมากแค่ไหน ถ้าอยากเก่งมาก แต่เอาใจใส่น้อย ให้ความสำคัญน้อย โอกาสสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ก็คงไม่ง่าย เพราะมันไม่สอดคล้องกับหลักการ ทุกวันนี้ เท่าที่ผมสังเกต จะเป็นแบบที่ว่านี่แหละครับ คือ อยากให้เก่งมากๆ พูดเป็นไฟ โต้ตอบได้ ฉับไว พึ่บพั่บๆ มีแต่ความอยากแต่ไม่ลงทุน อยากให้มีสูตรสำเร็จ ที่เก่งได้ในสามวันเจ็ดวัน บอกได้เลยว่า ยากส์ ดังนั้นขอให้ใช้หลักอิทธิบาทสี่ของพระพุทธเจ้า ที่ใช้กันมาหลายพันปีนี่แหละ ดีที่สุด ไม่อยากพูดมากเดี๋ยวจะกลายเป็นบรรยายธรรมมะไป 5555 เอาเป็นว่า ขอให้ข้อแรกกะ ข้อสองให้ผ่านก่อนเหอะ ขอเหอะนะ ลงทุนกันหน่อย คนที่เค้าเก่งๆ เค้าก็ลงทุน ลงเวลากันทั้งนั้นแหละ
เอาล่ะ มาที่คำถามว่าแล้วจะฝึก Listening ได้ที่ไหนบ้าง คำตอบก็คือ เราสามารถ ฝึกได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฝึกรึเปล่า อย่างเช่น ลองฟังรายการข่าวที่พูดเป็นภาษาอังกฤษ หรือ โทรหาเพื่อนแล้วคุยกันเป็นภาษาอังกฤษจนวางสาย ก็ถือว่าฝึกแล้ว ( อ้อ ไม่ต้องโทรมาหาผมนะครับ 55555 ล้อเล่น ครับ โทรมาได้เลย ) พูดง่ายๆก็คือ ฝึกมันทุกอย่างนั่นแหละ เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ก่อนอย่าง ฟังเพลง ดูหนัง ดูข่าว ภาษาอังกฤษเยอะ ๆ ฟังบ่อย ๆ ให้คุ้นหู หรือลองเข้าเว็บต่างประเทศบ่อย ๆ ( อันนี้ คงไม่ต้องสอน เพราะพวกเราคงเข้าบ่อยอยู่แล้ว สารภาพเลยว่า ตัวผมเองที่เก่งได้ส่วนหนึ่งคือ เข้าเวป ทีนี้ พอเจอคำแปลกเราๆก็อยากอ่านรู้เรื่อง ก็เลยขยันเปิดดิก เปิดไปเปิดมา คำศัพท์เต็มหัวเลย ทีนี้ก็ไม่ต้องเปิดศัพท์อีกต่อไป ตอนนี้ แทบไม่ค่อยได้ใช้ดิกเลย แต่ไม่ได้แปลว่า รู้ทุกอย่างนะครับ เป็นไปไม่ได้ แต่เปิดนอยลง เพราะว่า พอนานๆไป เราจะรู้เลยว่า เราไม่ต้องเปิดดิกทุกครั้งเราก็สามารถเข้าใจได้ โดยการเดาศัพท์จากคำรอบๆ แล้วไว้จะเล่าเรื่องการเทคนิคอ่านหนังสือพิมพ์อีกทีครับ ) ดู TV หรือ ดูภาพยนตร์ sound track ก็ช่วยได้ อย่างตัวผมเองกว่าจะเก่งได้ หมดเงินค่าดูหนังไปเป็นแสนแล้ว ผมดูแทบทุกเรื่องเลย ( พูดจริงๆนะ อ้อ แนะนำให้ดูหนังโรแมนติกหรือ แนว ดราม่าเบาๆ ก่อน เพราะว่า พูดกันช้าๆ เข้าใจง่าย อย่าเพิ่งไปดูแนว แอคชั่น สงคราม หรือ แนวทนาย สืบสวน สอบสวนเด็ดขาดเชียว พูดเร็วอย่างกะปืนกล ฟังไม่ทันแล้วจะพาลท้อไปซะก่อน 5555 ) อีกอันที่น่าสนใจคือ การดูช่อง Shopping ทางเคเบิล TV เพราะโฆษณาแวนี้ มักจะมีการใช้คำสละสลวยตรงประเด็นและเข้าใจง่าย
บางคนอ่านหนังสือที่สอนภาษาอังกฤษแล้วไม่รู้เรื่อง ฟังโทรทัศน์ วิทยุก็ไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ผมว่า อย่าไปโทษใครเลย เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวเราจะฝึกพูดหมั่นซ้อมและพัฒนาภาษาของเรารึเปล่า (ผมว่าทุกคนก็คิดได้แบบนี้นะ แต่ไม่ยักทำสักที 5555 ) โอ้โฮ บางคนลงทุนไปเรียนที่แพง ๆ ดัง ๆ เจอแต่คนเก่ง ๆ ( เน่าเลย ) เซ็งปนเศร้า เพราะดันไปเปรีบเทียบ ตัวเรา ณ วันนี้ กับเค้า ( ผู้ซึ่งน่าจะฝึกมานานแล้ว แล้วก็พาลไม่อยากไปเรียน เลยพูดไม่ได้ เรียนไม่รู้เรื่อง เสียเงินเปล่า ๆ ) ผมว่าไม่แฟร์ ลองใช้จินตนาการที่ผมแนะนำมาตลอดว่า เออ ซักวันนึง ฉันจะต้องเก่งแบบเธอให้ได้เลย เอาเค้าเป็นตัวอย่าง มองให้เห็นตัวเราในอนาคตที่สามารถพูดได้แบบนั้น แล้วเปรียบเทียบกับคนอื่น แบบนี้ถึงจะมีสิทธิ์ สำเร็จ และมีไฟ ไม่ท้อ แต่มีสิ่งหนึ่งที่บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ดีที่สุด คือหาโอกาสไปคุยกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ หรือ เจ้าของภาษาโดยตรงก็ได้ นี่แหละเป็นวิธีการฝึกฝนที่ดีที่สุด แหม ไม่อยากจะคุยกับมันเลย เราโง่ภาษาอังกฤษจะตาย ฝรั่งก็มาชวนคุยอยู่ได้ ต้องจำใจคุยด้วยแบบงู ๆ ปลา ๆ บ้า ๆ บอ ๆ เชื่อมั๊ย บ่อย ๆ เข้าเราก็เริ่มชินและกล้าพูดจนได้ ในชั้นเรียนนั่นแหละ เวลาให้พูดอะไรก็พูดไปเหอะ ผิดถูกก็ช่างมันปะไร ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่เรา ใครมันจะเก่งตั้งแต่เกิด พูดๆไป ไม่นานก็พูดได้เอง จริงๆนะ
มาถึงคำถามที่ว่า ทำยังไงถึงจะเก่ง Listening ก็ทำมันทุกอย่างที่บอกมาทั้งหมดนั่นแหละ และต้องทำใจด้วย ทำใจในที่นี้ก็คือ ทำใจให้กล้า กล้าเริ่มต้น กล้าหน้าแตก กล้าโง่ (กล้าถามไง 5555 ) หลาย ๆ อย่าง เริ่มที่เราตั้งใจ ตั้งใจ และตั้งใจ รวมทั้ง ซ้อม ซ้อม และซ้อม ( กลับมา อิทธิบาท สี่ อีกละ ทีนี้เราก็ต้องคอยบอก และให้กำลังใจตัวเองด้วยนะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น เอ๊ย ไม่ใช่ ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้น อย่าหยุดพยายาม นะครับ )
สรุปทั้งหมดที่ว่ามา ผมว่านะ หาแฟนฝรั่งซักคน 55555 หมดเรื่อง อ้อ ก่อนจบ ผมมี ไฟล์มาฝาก เพื่อทดสอบการฟัง อาจง่ายไปซักนิด แต่ลองฟังดูก่อน มีแบบทดสอบให้ด้วยจะได้รู้ว่า เราฟังรู้เรื่องมั๊ยตามนี้นะครับ
http://www.mediafire.com/?sharekey=5507b5f4504eb09cd6baebe61b361f7cca87d30f5952ffe9ce018c8114394287
http://www.mediafire.com/?sharekey=5507b5f4504eb09cd6baebe61b361f7cbe71c3d85ff9f198ce018c8114394287
มีสองเวอร์ชั่นนะครับ ลองฟังดู แล้วอย่าลืม โหลดแบบฝึกหัดมาลองทำด้วย จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นครับ
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552
Phonics วันที่ 27 มีนาคม 2552
ต่อครับ
เสียง S s ลองออกเสียงคำว่า sail soap sad sun sit sand ดูนะครับ เสียงตัว S ที่เราได้ยิน คือ ซือ แค่เสียงที่ยิงฟันไว้ แล้วปล่อยให้ลมผ่านออกมา ก็จะได้ยินเสียงของ s- ce- se ด้วยเช่นกัน
เสียง T t ลองออกเสียงคำว่า talk take tap table taxi นะครับ เสียง T ที่เราได้คือเสียง เทอะ หรือ เถอะ ซึ่งแน่นอนครับว่า คำที่ลงท้ายด้วยตัว t ก็จะต้องมีเสียงของ t ด้วยเช่นคำว่า pat แพท-เทอะ(เบาๆ) แต่ไม่จำเป็นต้องออกเสียงท้ายแรงมากจนกลายเป็น แพท-เทอะ นะครับ
เสียง V v ถ้าจะให้ได้เสียง V ที่ถูกต้อง ฟันบนจะต้องกัดริมฝีปากล่างไว้เบาๆแล้วออกเสียง เวอ ออกมา ให้สังเกตว่าริมฝีปากล่างจะมีความสั่นสะเทือนด้วย เสียงที่ได้คล้ายเสียง เหวอะ ผสมกับเสียง เฝอะ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าออกเป็นเสียงใดกันแน่ เช่นคำว่า view violin van video ส่วนคำที่ลงท้ายด้วย v ก็ต้องมีเสียง v ข้างท้ายด้วยนะครับ เช่น คำว่า drive five life knife เป็นต้น
เสียง W w ตัวอักษรนี้มีชื่อว่า ดับเบิลยู นะครับอย่าไปเปลี่ยนชื่อของเขา ( บางคนอยากอ่านว่า ดับบลิว ก็อนุโลมนะครับ ) ถ้าอยากได้ยินเสียงให้ลองออกเสียงคำว่า wall way walk water watch wait we เสียง w ที่เราได้ยินคือ เสียง เวอะ หรือ วะ ( ซึ่งก็คือเสียง ว แหวน ในภาษาไทยนั่นเอง ) คำภาษาอังกฤษที่ใช้ในการตั้งคำถามแบบเปิด( คำถามแบบที่เราใช้ถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมากกว่าคำว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ ) แทบทั้งหมดที่เรารู้จักเช่น What Where When Why ก็ออกเสียง w นะครับ ยกเว้น Who , Whose , Whom คำเหล่านี้ออกเสียงเป็นเสียงฮ นกฮูก นะครับ
เสียง X x เสียงของ x คือเสียง k บวกกับเสียง sที่ออกผสมกัน เช่น x-ray xylophone เป็นต้น ซึ่งเสียง x โดยมากจะลงท้ายคำหลายๆ คำ ที่เรารู้จักแต่พวกเรามักไม่ค่อยยอมออกเสียงกัน พวกเราชอบอออกเสียงว่า เอ็ก ทั้งๆที่เสียงมันคือ เอ็กซซซซ์ ซึ่งจะทำให้คำนั้นเสียงเพี้ยนไป เช่น fox ถ้าออกเสียงว่า ฟ็อก จะแปลว่า หมอก แต่ถ้าออกเสียงถูกต้องจะออกว่า ฟ็อกซซซ์ ซึ่งแปลว่า สุนัขจิ้งจอก เป็นต้น
เสียง Y y เสียงของ y คือเสียงของคำว่า yellow yesterday you yes year หรือเทียบเคียงกับ ภาษาไทยคือเสียง ย ยักษ์ นั่นเอง เราจะได้เสียง เยอะ จากการออกเสียงทุกๆ คำข้างต้นนะครับ ลองทำดู
เสียง Z z ตัวอักษรตัวนี้ถ้าคนอังกฤษหรือคนออสเตรเลียนจะเรียกว่า แซด แต่คนอเมริกันจะเรียกว่า ซี ( แต่คนไทย ไม่ต้อง วอรี่ เพราะว่า เราได้ทั้งสองอย่าง 5555 )แต่ เสียงของตัว z นี้ก็คือเสียงเดียวกัน กล่าวคือ เสียงที่ได้จะมีความสั่นสะเทือนระหว่างลิ้นและเพดาน เมื่อจับดูลำคอเราเบาๆจะพบความสั่นสะเทือน ( ขอย้ำว่า เบาๆนะ ไม่ใช่ บีบคอตัวเอง เดี๋ยวขาดใจตาย ไม่รู้ด้วยนะ 5555 ) เช่น เมื่อเราออกคำว่า zip zig zag zoo zebra zero เป็นต้น
นอกจากนี้ การออกเสียงภาษาอังกฤษ ยังมีคำที่ออกเสียงเป็นเสียงควบเหมือนในภาษาไทยด้วยนะครับ เช่น
เสียง bl ลองออกเสียงคำเหล่านี้ blow blind blouse blue blink black blame blanket block blood ให้สังเกตว่าคำพวกนี้ ต้องออกทั้งเสียง b และเสียง l พร้อมๆกัน เช่น ถ้าเราจะอ่านคำว่า black จะต้องออกเสียงว่า เบอะ-แลค เร็วๆ เป็น แบลค เราจะไม่ออกแค่ แบค เด็ดขาด เพราะความหมายต่างกัน ( จริงๆแล้ว พวกเราคนไทยไม่น่าจะมีปัญหานี้ เพราะเรามีคำแบบนี้อยู่แล้ว เช่น คำว่า เพลง คลอง กลอง เป็นต้น )
เสียง cl ลองออกเสียงคำเหล่านี้ clay clean clear clap class claw clever cliff climb cloud clown clue clock close cloth clothes ดู คำทั้งหมดข้างต้นเราต้องออกเสียงของ c และเสียงของ l พร้อมๆกัน เช่น ถ้าเราอ่านคำว่า class ก็จะได้เสียงว่า เขอะ-ลาส เร็วๆ เป็น คลาส ไม่ใช่แค่ คาส นะครับ
เสียง dr ลองออกเสียงคำเหล่านี้ดู draw dream dress drag drain drop drum dry drink drill drip drive
คำทั้งหมดเมื่อคุณออกเสียงจะต้องมีเสียง d และเสียง r พร้อมๆกัน เช่นคุณอ่านคำว่า drink จะได้เสียงว่า
เดอะ-ริงค เร็วๆเป็นเสียง ดริงค ไม่ใช่แค่ ดิ้ง นะครับ
เสียง fl ลองออกเสียงคำเหล่านี้ flavor fly float flood flower flag flame flash flat flu flute ดู ซึ่งคำทั้งหมดเราจะต้องออกเสียงของทั้ง f และ l พร้อมๆกัน เช่น เมื่อเราจะอ่านคำว่า fly จะได้เสียงว่า เฟอะ-ลาย เร็วๆ กลาย เป็น ฟลาย ไม่ใช่แค่ ฟาย
เสียง gr ลองออกเสียงคำเหล่านี้ grass green grow grill grab grandmother grape group grow คำเหล่านี้ เราต้องออกเสียงของทั้ง g และ r เช่นเมื่อเราต้องการจะอ่านคำว่า grass ต้องออกเสียงว่า เกอะ-ราส เร็วๆ เป็น กราส ไม่ใช่แค่ กาส ยังมีอีกหลายคำที่ออกเสียงควบลองช่วยกันหาเพิ่มเติมดูนะครับ ขี้เกียจ ยกตัวอย่างแล้ว 5555
เสียง sn ลองออกเสียงคำเหล่านี้ sneeze snore snow snack snail snake คำเหล่านี้ทั้งหมดต้องออกเสียงทั้ง s และ n ซึ่งเราจะได้ยินเสียงว่า สะ-เนอะ ของทุกๆ คำนะครับ ถึงจะถูกต้อง
เสียง tw ลองออกเสียงคำเหล่านี้ดูนะครับ twig twin twelve twenty twist คำเหล่านี้ต้องออกเสียงทั้ง t และ w ซึ่งเราจะได้ยินเสียงว่า เทอะ-เวอะ ของทุกๆ คำนะครับ
เสียง st ลองออกเสียงคำเหล่านี้ sting store stone study strong stir stop step stick still storm story street
คำเหล่านี้ต้องออกเสียงที่ตัว s และt ซึ่งเราจะได้ยินเสียงว่า สะ-เทอะ ของทุกคำนะครับ
เอาแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วมาต่อใหม่คราวหน้านะครับ Bye-bye
วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552
How to Excel in English (Master Jonathan's tactics) วันที่ 25 มีนาคม 2552
http://www.mediafire.com/?nj2zhzaznji
วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ ( ด้วยวิธีของท่าน ปรมาจารย์ โจนาธาน )
A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว
Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now! To start with, there are six ways to a better vocabulary :
การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น
1. Experience : ประสบการณ์
You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else.
เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2. Reading : การอ่าน
You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based on interests, hobby, vocation , etc. Reading is one of the chef tools in broadening your background.
เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา
3. Dictionary : พจนานุกรม
You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner.
เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ
4. Notebook : สมุดบันทึก
After collecting words, you are to keep a neat record of new words in your notebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy.
หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ
5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์
You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English.
เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค) รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ
6. Word-games : เกมคำศัพท์
Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc. All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English.
เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ
ที่อ่านมาก็มีแค่ 6 ข้อ เท่านี้อะครับ วันหลังจะหาอะไร อย่างอื่นมาให้อ่านอีกครับ
วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552
Pronouns 1 ( คำสรรพนาม ) วันที่ 23 มีนาคม 2552
วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องเกี่ยวกับ pronoun กันนะครับ จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ยากเลย เพราะว่า เวลาเราจะคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือ ภาษาอังกฤษ แน่นอนที่สุดว่า เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยง pronoun ได้ เพราะว่า มันใช้ตลอดเวลานั่นเอง จะว่าไป pronoun ก็คือ คำสรรพนามที่ใช้เราใช้เรียกแทนคน สัตว์ สิ่งของ นั่นเอง โดยครั้งแรก เราอาจจะใช้คำนามแทนมันก่อน แล้วหลังจากนั้นเมื่อคนฟังรู้แล้วว่าเราพูดถึงอะไร เราก็สามารถใช้ pronoun แทนได้ ขอยกตัวอย่างเป็นภาษาไทยก่อน เช่น ฉันมีสุนัขตัวหนึ่ง มันชื่อ ลักกี้ ( ในที่นี้ คำนาม คือ คำว่าสุนัข เพราะเราเอาไว้ใช้เรียก สัตว์สี่ขา ชนิดหนึ่ง ที่เห่าได้ น่ารัก ซื่อสัตย์ แต่ถ้าเราขืนพูดยาวขนาดนั้น คงแย่แน่ๆเลย เราเลยตั้งชื่อมันว่า สุนัข ซึ่งก็คือ คำนาม นั่นเอง ส่วนคำว่า “มัน” นั้น เราเอามาใช้แทนสุนัข ในทีนี้ เพราะว่าคนฟังรู้แล้วว่าเรากำลังพูดถึง สุนัข ตัวนี้อยู่ คำนี้แหละที่เราเรียกมันว่า สรรพนาม หรือ pronoun นั่นเอง
ทีนี้ ถ้าเราจะคุยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย เราก็อาจจะแบ่ง Pronoun ได้ดังนี้ นะครับ ( ไม่ต้องจำชื่อก็ได้นะครับ ขอให้รู้ว่า แต่ละประเภท แตกต่างกันยังไง แล้วก็ใช้ยังไงก็พอ )
Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ
1. Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม ) เช่น I, you, we, they , he , she ,it
2. Possessive Pronoun ( สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ ) เช่น mine, yours, ours, theirs ,his, hers, its
3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามแสดงตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย เช่น myself, yourself, ourselves etc.
4. Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเฉพาะเจาะจง ) เช่น this, that, these, those, one, such, the same
5. Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เฉพาะเจาะจง ) เช่น all, some, any, somebody, something, someone
6. Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
7. Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น who, which, that
จะเห็นได้ว่า ถ้าจะพูดกันตามหลักวิชาการอย่างงที่บอก รับรองพูดได้หลายวันไม่จบสิ้น วันนี้ ตามที่เราได้เรียนกันไป เราจะเจาะเฉพาะแบบที่ หนึ่งก่อนละกัน เพราะไม่งั้น คนเล่าคงตายก่อน 5555
Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม ) คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
สรรพนาม บุรุษที่ 1 คือ ตัวผู้พูดเอง ได้แก่ I, we
สรรพนาม บุรุษที่ 2 คือ ผู้ฟัง หรือ คนที่เราคุยด้วย ได้แก่ you ( แปลได้ 2 อย่าง คือ คุณ หรือ พวกคุณ แล้วแต่บริบทนั้นๆ )
สรรพนาม บุรุษที่ 3 คือ ผู้ที่ถูกพูดถึง หรือ สิ่งที่ถูกพูดถึง ได้แก่ they ,he, she, it
ขอแนะนำให้ท่องจำ ตาราางข้างบนที่แสดงโน้น เพื่อความสะดวกในการใช้งาน แต่ไหนๆก็จะท่องแล้ว ก็เลยให้ท่องทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นในการใช้งานเลยก็แล้วกันนะครับ
ต่อไป ก็มาดูตัวอย่างกัน เช่น
I am seeing a girl on the BTS. She seems to recognize me.
ฉันเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบน BTS ดูเหมือนเธอจะจำฉันได้ ( She ในประโยคที่สองแทน a girl และ me แทน I ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her sisters like to play Ping-pong. They play Ping-pong whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องสาวของเธอชอบเล่นปิงปอง พวกเขาตีปิงปองทุกครั้งที่มีโอกาส ( they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her sisters ในประโยคที่ 1 )
ทีนี้เรามาดูว่า การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักการใช้อย่างไร ผมอยากสรุปดังนี้
1.Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น
Please inform him whatever you want. โปรดแจ้งให้เขาทราบถึงสิ่งที่คุณต้องการ ( him ตามหลังดำกริยา inform )
หมายเหตุ ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ ยกตัวอย่างเช่น
It was he who went to the library yesterday.
มันคือเขา ที่ไปที่ห้องสมุดเมื่อวานนี้ ( ใช้ he เพราะเป็นผู้กระทำ )
It was him whom you met at the library yesterday.
เขาคนนี้คือคนที่คุณพบที่ห้องสมุดเมื่อวานนี้ (ใช้ him เพราะเป็นกรรมของ you met )
ตอนนี้เราเรียน ถึงตรงนี้แล้ว งั้นก็ขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ See you!
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552
Phonics วันที่ 20 มีนาคม 2552
ต่อดีกว่า ถึงไหนแล้วล่ะ อ้อ วันนี้จะคุยเรื่อง สระเสียงยาว จริงๆแล้วมันก็คือตัวที่เราค่อนข้างคุ้นเคยเพราะเราเรียกชื่อตัวอักษรนั้นๆ อยู่แล้ว เช่นชื่อที่เราเรียก A E I O U เสียงที่เราเรียก ก็คือเสียง เอ อี ไอ โอ ยู ซึ่งก็คือเสียงของสระเสียงยาวนั้นเอง
Long A Sound เช่น คำว่า Ace เราอ่านว่า เอด-ส เสียง A เสียงยาวจึงเป็นเสียง เอ แต่ Long A ก็ยังมาให้เห็นในรูปอื่นๆ ด้วย เช่น
กลุ่ม -ay เช่น Tray- เทรย์ play-เพลย์ spray-สเปรย์ hay-เฮย์ jay-เจย์
กลุ่ม_ai เช่น sail-เซล snail-สะเนล train-เทรน rain-เรน
กลุ่ม_eigh เช่น eight-เอท weigh-เวท
หมายเหตุ อยากให้สังเกตว่าเสียง egg กับ eight ต่างกันเพราะ egg เป็นสระ e เสียง สั้น แต่ eight เป็น สระ a เสียงยาว egg จึงออกเสียงสั้นว่า eight นะครับ
วิธีสังเกตดูว่า เมื่อไหร่จะออกเสียงสั้ย เมื่อไหร่จะออกเสียงยาว ให้สังเกต จำนวนสระ ในคำนั้นๆ เช่น ปกติ ถ้ามีสระในคำนั้นๆเพียงตัวเดียว อย่าง Cat เราก็จะออกเป็นเสียงสั้น คือ แคะท (เสียงแอะ) แต่ถ้าในคำนั้นๆมีสระ สองตัว เราจะไม่ออกเสียงสระตัวหลัง แต่จะออกเสียงสระตัวหน้าเป็นเสียงยาวแทน ( ซึ่งก็คือเสียงที่เราเรียกสระตัวนั้น อย่างที่บอกตอนต้นว่า เอ อี ไอ โอ ยู เลย ขอให้ดูตัวอย่างดังต่อไปนี้
Short a sound และ Long a sound+silente
mad (แอะ) แมะด made (เอ) เมด
man (แอะ) แมะน mane(เอะ) เมน
hat (แอะ) แฮะท hate(เอะ) เฮท
cap (แอะ) แคะพ cape(เอะ) เคพ
Long E sound เช่น key เราอ่านว่า คี เสียง E เสียงยาวจึงเป็นเสียง อี แต่ Long E ยังมาให้เห็นในรูปอื่น ๆ อีกด้วย เช่น
กลุ่ม_ee เช่น feet meet sheep tree three teeth ( ฟีท มีท ชีพ ทรี ธรี ทีธ )
กลุ่ม_ea เช่น seal jeans eagle meat peanut ( ซีล จีนส อีเกิล มีท พีนัท )
กลุ่ม_ey เช่น money donkey monkey ( มันนี่ ดองคี่ มันนี่ )
กลุ่ม_ie,e เช่น he she cookie chief thief field shield ( ฮี ชี คุกกี้ ชีฟ ธีฟ ฟีลด ชีลด )
Long I sound เช่น ice มีสระสองตัวคือ i กับ e เราจึงอ่านแบบไม่สนใจสระตัวหลัง ให้อ่านเสียงสระตัวแรกเป็นเสียง ไอ ดังนั้น คำนี้จึงอ่านว่า ไอส เสียง I เสียงยาวจึงเป็นเสียง ไอ หรือ อาย ซึ่งเจ้าเสียง Long I ยังมาให้เห็นในรูปอื่นๆ อีกเช่น
กลุ่ม_ie,y เช่น fly my shy pie tie อ่านว่า ฟลาย มาย ชาย พาย ทาย
กลุ่ม_igh เช่นhigh night light fight อ่านว่า ไฮ ไนท ไลท ไฟลท
กลุ่ม_ild,ind เช่น find kind mind blind wild child อ่านว่า ไฟน ไคน ไมน ไบลนด ( คำนี้ หรือคำภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด เวลาอ่าน ต้องออกเสียงทุกตัวอักษร จะสังเกตได้ว่า เวลาผมเขียนคำอ่าน จะมีทุกเสียงเลย เวลาออก เสียงก็ต้องครบทุกเสียงเช่นกัน ก้คล้ายๆกับภาษาไทย คำยาวๆ อย่างเช่น คำว่า พิจารณา ถ้าเรามีความรู้ เราก็ต้องออกเสียงว่า พิ จา ระ นา เราจะออกเสียงว่า พิ ลา คนฟังก็จะไมรู้เรื่องหรือ พยายามเดา แต่ก็เดาผิดก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น เริ่มตั้งแต่วันนี้ ออกเสียงให้ถูกและให้ครบ เพื่ออนาคตเวลาคุยกับฝรั่ง ๆ จะได้รู้เรื่อง นะ นะ ) เอ้า ต่อ ถัดไปก็ ไวลด ไชลด เป็นต้น
อย่างที่บอก ถ้าi เสียงยาวตามด้วย e เราก็จะไม่ออกเสียง อี นะ เช่น
time five bike write hive อ่านว่า ไทม ไฟฟ ไบค ไรท ( อ้อ แถมให้หน่อยนึง เวลาเราเห็น WR อยู่ติดกันแบบนี้ เราจะไม่ออกเสียงตัว w ให้อ่านแบบมองไม่เห็นตัวw ก็เลยออกแต่เสียงตัว R เท่านั้น ) ไฮฟ
Long O sound เช่น Coat เราอ่านว่า โคท เสียง O เสียงยาวเพราะคำนี้มีสระสองตัวคือตัวโอกับตัวเอ เวลาอ่าน เราก็เลยอ่านตัวหน้าเป็นเสียงโอยาว ตัวหลังเราทำเป็นมองไม่เห็นซะ คำนี้จึงออกเสียงเป็นเสียงโอ เช่น rope nose bone home rose hole note อ่านว่า โรพ โนส โบน โฮม โรส โฮล โนท แต่เจ้า Long O ยังมาให้เห็นในรูปอื่นๆ เช่น
กลุ่ม_oe,oa เช่น คำว่า toe hoe road boat toast อ่านว่า โท โฮ โรด โบท โทสท
กลุ่ม_o,ow,old,ost เช่นคำว่า go no old gold crow bowl snow ghost อ่านว่า โก โน โกลด โครว โบลว สะโนว โกสท เป็นต้น
Long U sound เช่น University เราอ่านว่า ยูนิเวอซิตี้ เสียง U เสียงยาว หรือคำว่า Cute , Mute , Glue , Fuel ,Cube ,Huge,Use มียูกับอีอยู่ด้วยกัน เราเลยออกเสียงแบบมองไม่เห็นตัว e ดังนั้น เสียงจึงเป็นเสียงยู อ่านว่า คะยูท มะยูท กละยู ฟะยูล คะยูบ ฮะยูท ยูส แต่เสียง Long U ยังมาให้เห็นในรูปอื่นๆ เช่น
กลุ่ม ew เช่นคำว่า screw อ่านว่า สะครู เป็นต้น
พยัญชนะ Consonants
ก็คือการที่ เราออกเสียงพยัญชนะในคำนั้นๆ อย่างเช่น
B b ถ้าอยากได้ยินเสียงของตัวอักษร B ลองออกเสียงคำเหล่านี้ดูนะครับ
bat bird boat bear เราจะได้ยินเสียงของตัว B คือเสียง เบอะ อ่านว่า แบะท เบอะร์ด โบะท แบร์
C c ตัว c จะมี 2 เสียง คือเสียง เบา กับเสียง หนัก
C เสียงเบาจะออกเสียงตามชื่อเขาเลยว่า ซี เช่น Circle ceiling cell central cereal อ่านว่า เซอเคิล ซีลลิ่ง เซล เซ็นทรัล ซีรีล ส่วน C เสียงหนักก็ที่เราคุ้นเคย กัน เช่น cat cow car come cake แคะท คาว คาร์ คัม เคะก เราจะออกเสียงของตัว C เป็นเสียง เคอะ
ไหนเรามาดูตัว D d กัน เราลองออกเสียงคำเหล่านี้เพื่อจะได้ยินเสียงของตัวอักษร D เช่นคำว่า dog door duck doll dance deer drum เราก็จะได้ยินเสียงของตัว D เป็นเสียง เดอะ อ่านว่า ดอะก ดอร์ ดะก ดอะล แดะนซ เดียร ดระม
ส่วนตัว F f เราลองออกเสียง คำเหล่านี้เพื่อจะได้ยินเสียงของตัว F เช่นคำว่า fan four fun fish food fly อ่านว่า แฟะน โฟร ฟะน ฟิช ฟูด ฟลาย เสียงตัว f ที่เราได้ยินหรือออกเสียง ก็คือเสียงที่ปล่อยให้ลมพ่นผ่านฟันบนและริมฝีปากล่างออกมา เป็นเสีงเฝอะ เฟอะ ลองทำดูนะครับ
เสียง G g ตัว g มี 2 เสียง คือเสียง เบา และเสียง หนัก
G เสียงเบา จะออกเสียง เจอะ หรือ ตามชื่อของเขา คือ จี เช่น Giraffe orange gel gym อ่านว่า จิราฟ ออะเรนจ เจะล จิม ส่วน G เสียงหนัก ถ้าเราออกเสียงคำเหล่านี้จะได้เสียง G หนัก คือ เกอะ เช่น gun go game girl goose ghost good อ่านว่า กะน เกะม เกอะล กูส โกะสท กูด เป็นต้น
เสียง H h ตัวนี้อ่านว่า เอช นะครับ ไม่รู้ทำไมชอบได้ยินคนออกเสียงเป็น เฮช คำเหล่านสี้ต้องออกเสียง เหอะ เช่น Hot House Home Hand ham ออกเสียงว่า ฮอะท เฮาส โฮม แฮนด แฮม เสียงที่เราต้องออกเพื่อให้ได้คำเหล่านี้คือ เฮอะ หรือ เหอะ นั่นเอง
ต่อไป เสียง เจอะ หรือ J j ลองออกเสียงคำเหล่านี้ jump jar jet jug อ่านว่า จะมพ์ จาร์ เจะท จะก(ขอให้สังเกตคำว่า jug มีตัว g ลงท้ายต้องมีเสียง g ตามหลังด้วย คือเสียง เกอะ แต่ไม่ต้องเป็น จัค-เกอะ ออกมาแรง ๆ แค่ออกเกอะในลำคอเบาๆให้พอมีเสียงพอสังเกตก็พอ )
ตัว เคอะ หรือ เขอะ K k ลองออกเสียงคำเหล่านี้ kick kite kitchen king kiss ออกเสียงเป็น คิค ไคท คิทเช่น คิง คิส
ตัว L l ตัว L ถ้าเราวางตำแหน่ง ลิ้นไว้หลังฟันหน้าด้านในติดกับเพดานเราก็จะได้เสียงของตัว L ที่ ถูกต้องขอให้ลองออกคำเหล่านี้ lion love leg lemon lock look อ่าว่า ไลออน โลฟ เละม ออน ลอะค ลุค
ขอให้สังเกตุคำที่ลงท้ายด้วย L ก็ต้องออกเสียงเหลอะหรือ แอล ตอนจบ ด้วยนะครับ เช่น oil ออ-อิล หรือ style สไต-อิล
ตัว M m จะออกเสียง เหมอะ อย่างคำเหล่านี้เช่น moon monkey money man map อ่านว่า มูน มะงกี้ มะนนี่ แมะน แมะพ
เสียง N n ลองออกเสียงเนอะ อย่างคำเหล่านี้เช่น noon name nail nine new อ่านว่า นูน เนะม เนะล ไนล นะยู เสียง ที่เราได้คือเสียง นือ ที่ค่อนข้างขึ้นจมูก ลองสังเกตุคำว่า wine เราต้องออกเสียง n ไว้ ข้างท้ายคำด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะได้เสียงของคำว่า Why ซึ่งกลายเป็นคนละคำ คนละความหมายไปเลย นี่แหละ ถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าออกให้ถูกน๊า
เสียง P p เพอะ ก็ลองออกเสียงคำเหล่านี้ดู เช่น pan ponds paper pocket pen party ออกเสียงว่า แพะน พอะนส เพเพอร์ พอกเก็ท เพะน พาร์ตี้ เสียง P ที่เราได้คือเสียง เพอะ ส่วนเสียงท้ายของคำที่ลงท้ายด้วย P ก็ต้องออกเสียงด้วยเช่นกัน เช่น cup แต่เราไม่ต้องออก คัพ-เพอะ ออกมาขนาดนั้น แค่เปิดริมผีปากนิดหน่อยแล้วพ่นลมเหมือนตอนเด็กๆเราเล่นเป่ากบ เราก็จะได้เสียงของคำว่า cup ที่ถูกต้อง
เสียง Q q ลองออกเสียงคำเหล่านี้ queen quiz question quick ออกเสียงเป็น ควะอีน ควะอิซ ควะเอสชั่น ควะอิก เสียง Q ที่เราได้คือ ควะ หรือคล้าย ๆ กับเสียงที่เป็ดร้อง
ตัว R r เสียงของตัว R ถ้าเราจะทำเสียงเหมือนตอนที่เรากลั้วคอตอนเช้า หรือทำเสียงที่เวลาเด็กๆ เล่นรถ แล้วทำเสียง รื่น รื่น ก็จะได้เสียงของตัว r ที่ถูกต้องค่ะ rat run rabbit ring road red read คำที่ลงท้ายด้วย r ก็ต้องมีเสียง r ข้างท้ายด้วยนะครับ เช่น คำว่า car river
ยังเหลืออีกหลายตัวครับ แต่ขออนูญาติพอแค่นี้ก่อน เพราะคงเมื่อยทั้งคนอ่านคนพิมพ์แล้วมั๊งครับ 5555
วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552
Conversation Print out ( 18 Mar 2009)
อ้อ วันนี้ชั้นเรียนที่เรียนเรื่อง การสนทนา อย่างง่ายๆไป คนที่ไม่ได้เข้าก็โหลดได้นะ เอาไปอ่านเล่น ไอเดียที่อยากเล่าก็คือว่า สถานการณ์ต่างๆที่ยกตัวอย่างในชั้นเรียน หรือที่ปรากฎในเอกสารนั่น ไม่ใช่ว่า ต้องพูดตามนั้นนะ แต่อยากนำเสนอไอเดียว่า ชาวบ้านชาวช่องเค้านิยมพูดกันแบบไหน ถ้าเรามีความคิดสร้างสรรค์เก๋ๆ ว่าเออ น่าจะพูดแบบนั้นแบบนี้ ก็ลองพูดดูได้ อย่างที่เราฝึกกันในห้อง
น่ะ ทำถูกแล้ว ใครที่โชคดีได้คุยกับผม ( หรือโชคร้าย ) ก็อาจพบว่า โหดจังเลย อย่าคิดมากนะครับ เพราะว่า อยากสร้างสีสันในห้องเรียน ให้ทุกคนผ่อนคลาย ในชีวิตจริงเวลาคุยกับฝรั่ง เค้าไม่กวนโอ๊ย แบบนี้หรอกครับ สบายใจไก้ ( เอ หรือ อาจจะหนักกว่านี้ก็ไม่รู้ 5555)
อยากฝากนิดนึงว่า เวลาที่เราคุยกันในชั้นเรียน ทำตัวสบายๆ พอกายสบาย ใจมันก็สบาย พอทุกอย่างรู้สึกสบาย การพูดการจาก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติ อัตโนมัต สักพัก เราจะรู้สึกว่า เอ เราก็พูดได้เหมือนกันนะ ( พูดผิดพูดถูกอีกเรื่องนึงนะ 555 )
ขยันพูดนะ คิดดูสิ ตอนเเป็นเด็ก กว่าเราจะพูดได้มันนานแค่ไหน เพราะฉะนั้น อย่าใจร้อน แต่จำไว้อย่างนึง ตอนที่เราพูดเป็นแล้ว พยายามหาวิธีทำให้มันหยุดพูดทีเหอะ ถึงตอนนั้น พูดเป็นไฟ ไม่ยอมหยุดแล้วจะหาว่าไม่บอกล่วงหน้า
เอ้า คลิกเลย ข้างล่างนี้
http://www.mediafire.com/?sharekey=5507b5f4504eb09cd6baebe61b361f7ce04e75f6e8ebb871
ถ้าคลิกไม่ได้ให้ใช้วิธี Copy http:// ข้างบนทั้งหมดไปแปะบน address แล้วค่อยโหลดนะครับ ลองดูครับ
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552
Adjective และ Adverb (ประจำวันที่ 16 มีนาคม 2552)
แต่จะพูดตามตรง ฝรั่งเค้าก็ไม่ค่อยชอบให้ใส่เครื่องทรงเยอะๆแบบนี้เท่าไหร่หรอกนะ เพราะฟังแล้วน่ารำคาญ เท่าที่เคยเจอในกรณีที่คุยกันเป็นงานเป็นการ เค้าอยากฟังสั้นๆ แค่ I have a cat. ก็พอ แต่คนไทยบอกว่าไม่เดิร์น ฉันชอบแบบพูดยาวๆ ถ้างั้นคุณมาถูกทางแล้ว ถ้าอยากพูดประโยคยาวๆเก่งๆ มาทางนี้เลย adj + adv ช่วยคุณได้แน่ๆ ถ้าพูดกันเชิงวิชาการแล้วละก็ Adjective ก็คือ คำคุณศัพท์ ( ฟังดูดีขึ้นหน่อยมั๊ยเนี่ย ) ทำหน้าที่ขยายคำนาม ( ขอย้ำนะว่า ขยายได้แต่คำนามเท่านั้น ) มีรายละเอียด ดังต่อไปนิ้ ( ไม่ต้องจำนะว่ามีกี่ประเภท เพราะไม่ได้ออกข้อสอบ 555 เอาแค่รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ขอให้รู้ว่า คำไหนเป็น adj ก็พอแล้ว คนที่เรียนในชั้น จะสังเกตได้ว่า เราไม่เคยสนใจเลยว่ามันเป็นประเภทไหน แต่ขอให้รู้ว่ามันเป็น adj แค่นี้ก็เอาไปใช้งานได้แล้ว )
1. Descriptive Adjective บอกลักษณะคุณภาพของคน สัตว์และสิ่งของเช่น young, old, rich, new, god, black, clever, happy, beautiful ( สังเกตนะ เวลาเราใช้ เราเอาไว้หน้านาม อย่างเช่น young boy , beautiful lady etc. หรือไม่ก็หลัง Verb to be เช่น We are rich , he is clever เป็นต้น )
2.Possessive Adjective แสดงความเป็นเจ้าของเช่น my, your, his, her, their, our, its ( สังเกตดูสิ เวลาเราใช้ เราเอาไว้หน้านาม อย่างเช่น My dog , your paper , his book , her bag etc. หรือไว้หลัง Verb to be เช่น this is our house เป็นค้น)
3.Quantitative Adjective เอาไว้บอกปริมาณมาก หรือ น้อยของนามที่นับไม่ได้ เช่น some, half, little, much ,enough เป็นต้น
4.Numeral Adjective เอาไว้แสดงจำนวนมากน้อย ของนามที่นับได้หรือแสดงลำดับก่อน- หลังของคำนามเช่น one , two, first, second , many เป็นต้น
5. Demonstrative Adjective เป็นคำคุณศัพท์ที่เอาไว้ชี้เฉพาะคำนาม เช่น this, that, these, those ไง
6. Interrogative Adjective interrogate แปลว่า สอบถาม เพราะฉะนั้น ก็เลยเป็นคำคุณศัพท์ที่ใช้แสดงคำถาม เช่น which, whose, what เป็นต้น ก็เลยมักจะวางอยู่หน้าประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น Whose dog is this ? ( หาตัวนี้เป็นของใคร ) Which way shall we go ? ( เราควรไปทางไหนดี ) เป็นต้น -
7. Proper Adjective ก็คือคำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ ทำหน้าที่ ขยายคำนามซึ่งมีความหมายว่า “เป็นของ หรือจากประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Siamese cat ไม่ได้แปลว่า แมวเป็นชาวสยาม แต่แปลว่า เป็นแมวจากประเทศสยาม แหม ตัวอย่างมีแต่ หมาๆแมวๆ เนอะ 5555
8. Distributive Adjective แสดงการแบ่งแยกหรือจำแนก เช่น each, every, either, neither เป็นต้น
ก็มีแค่แปดอย่างนี้แหละ ผมก็จำไม่ได้หมดหรอกว่ามีชื่ออะไรมั่ง แต่อย่างที่บอกแหละว่าไม่สำคัญ แต่เมื่ออยากรู้ก็เลยเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง มาพูดเรื่องตำแหน่งของคำคุณศัพท์ ( Positions of Adjective) กันดีกว่า
1. วางไว้หน้าคำนาม เช่น P’Aui wears a black suit. ( พี่อุ้ยใส่สูทสีดำ ) Khun Tor is a good guy. ( คุณต่อ เป็นคนดี ) เป็นต้น
2. วางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs เช่น
Khun Warn is kind.( คุณ หวานเป็นคนใจดี ) หรือ I feel exhausted. ( ผมรู้สึกเพลียจังเลย )
อ้อ หมายเหตุ อธิบายเพิ่มนิดนึงนะ Linking Verb คือคำกริยาที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง subject กับ adjective ที่ตามมา ซึ่งมักเป็นคำที่บอกความรู้สึก ที่คนพูดรู้สึกต่อสิ่งนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น look , seem , sound ,taste , smell , turn , keep , feel , appear , grow , get , become , go เป็นต้น ตัวอย่างเช่น This Som-Tum tastes good. ( ส้มตำจานนี้ อร่อยจัง ) The soap smells sweet. ( สบู่กลิ่นห๊อมหอม ) Khun Mai looks tired. ( คุณ ไม้ดูเหนื่อยๆ )
แต่ก็มี Adjective บางตัว ที่มีข้อยกเว้นว่า จะต้องวางไว้หน้าคำนามเท่านั้น (ห้ามวางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs เด็ดขาด) เช่น only (เพียง) upper (ข้างบน) former (แต่ก่อน) chief (สำคัญที่สุด) inner (ภายใน) outer (ภายนอก) main (สำคัญ) wooden (ทำด้วยไม้) golden (ทำด้วยทอง) principal (หลักสำคัญ) elder (สูงวัยกว่า) eldest (สูงวัยที่สุด) drunken (ขี้เมา)
เอาเท่านี้ก่อนนะ รู้สึกมึนๆหัวแล้ว เดี๋ยววันหลังมาต่อ อ้อ หรือไม่ก็ไปต่อในห้องเรียนดีกว่า 5555
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552
13 มีนาคม 2552 ( Phonics 2)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้หัดลอง ผสมคำแบบง่ายๆไปแล้ว ทั้งในชั้นเรียน และที่สรุปให้ฟังไปใน blog ใครทำได้แล้วก็ขอให้ฝึกฝนต่อไป คนที่ยังทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งท้อถอย ผมขอเป็นกำลังใจให้ ผมเคยยกตัวอย่างว่า การฝึกภาษาจะเปรียบไปก็เหมือนกับการหยอดกระปุกเพื่อซื้อจักรยานสักคันหนึ่ง สมมติจักยานราคา 1000บาท ถ้าเราหยอดทุกวัน วันละบาท ก็ 3 ปีกว่าก็จะได้จักรยาน 1 คัน ( ถ้าราคามันไม่ปรับซะก่อนนะ 5555 ) แต่ถ้าเราหยอดไม่ไม่หยอดมั่ง มันก็คงจะยืดเวลาการครอบครองจักยานออกไปอีก เพราะฉะนั้น หมั่นสะสมนะครับ ผมเองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน มันได้ผล เลยบอกต่อ
เอาล่ะ สมมติว่าตอนนี้ เราได้พื้นฐานของการผสมคำกันเบื้องต้นแล้ว แต่ในชีวิตจริงๆของเรา เราคงไม่ได้เจอแต่คำเหล่านี้ เพราะว่า จริงๆแล้ว มันยังมีคำที่มีเสียงควบกล้ำ อย่างคำว่า Spring อ่านว่า สะ ปริง เสียงควบจากการออกเสียง p + r พร้อมๆกัน เราก็ต้องออกให้ครบทุกเสียงด้วย และนี่คือจุดที่สำคัญยิ่งของการฝึกภาษาอังกฤษ พวกเราคงโดนเคี่ยวเข็ญกันในชั้นเรียนแล้วว่าเอ ทำไมครูเข้มงวดจังเลยเวลาพูดแล้วไม่มีเสียง S R T K ฯลฯ ก็เพราะว่า เสียงต่างๆเหล่านี้ หากเราออกเสียงขาดไปแม้แต่เสียงเดียว ความหมายจะเพี้ยนไปทันที ตัวอย่างเช่น คำว่า Fly กับคำว่า Fry คำหลัง อ่านว่า ฟราย เสียงตัวอาร์ ส่วนคำแรกอ่านว่า ฟลาย เสียงตัวแอล หูฝรั่งนั้นเขาฟังปุ๊บแยกทันทีว่าเราพูดถึงคำไหน ระหว่างคำว่า บิน กับคำว่า ทอด ภาระจึงตกอยู่กับผู้ส่งสาร คือ คนพูด ที่จะต้องพูดให้ชัด เพื่อให้ผู้รับสาร แปลให้ตรงกันกับข่าวสารที่ต้องการสื่อ ( พูดไปเหมือนวิชาการซะเหลือเกิน คนสอนเองก็เหนื่อยเหมือนกัน 5555 )
กลับมาเล่าต่อ อย่างที่บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเจอกับคำง่ายๆตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน วันนี้ ผมจึงขอเสนอวิธีการฝึกในขั้นต่อไป คือการอ่าน หรือ เราอาจเรียกให้เก๋ๆก็ได้ว่า Phonics Reading ซึ่งก็คือการฝึกหัดอ่านบทความที่เน้นเสียงหลัก แต่ละเสียง ผมได้แนบไฟล์มาให้ โหลดกันด้วย เพื่อให้คนที่สนใจเอาไปฝึกอ่านกัน แน่นอนแหละว่า ในแต่ละบทความนั้น จะต้องประกอบด้วยหลายเสียงหลายแบบหลายเทคนิก แต่อยากให้สังเกตว่า แต่ละ บทความสั้นๆนั้น เราจะเน้นเสียงใดเสียงหนึ่ง โดยดูได้จาก คำต่างๆที่ใช้นั้น ส่วนใหญ่เป็นเสียงใด ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง A Map นั้น ก็จะน้นเสียง แอะ (A) เรื่อง Hot Rod ก้จะเน้น เสียง ออะ (O) เป็นต้น
ลองโหลดไปฝึกดู สงสัย ติดขัดตรงไหน ไว้เราไปถกกันต่อในห้องเรียน คนที่ไม่ฝึก เวลาอ่านจริงๆ เสียงมันจะฟ้องเลยว่า ไม่เข้าใจ ส่วนคนที่ลิ้นแข็งแล้ว ไม่ต้องกังวล เพราะว่า เราไม่ได้ต้องการ Accent ฝรั่ง แต่เราต้องการวิธีการออกเสียงที่ถูกต้อง ขออนุญาตยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ อีกเรื่องสำหรับคนที่กังวล เรื่องAccent อยากบอกแบบนี้ว่า เราคงเคยเห็นคนเหนือ มีสำเนียงแบบหนึ่ง ต่อให้พูภาษากลาง เราก็พอเดาได้ว่ามาจากภาคไหนยิ่งคนใต้ยิ่งชัด เพราะจะมีสำเนียงเฉพาะ นั่นแหละ ต่อให้เราพูดฝรั่งได้คล่องแค่ไหน ถ้าเราไม่ได้เกิดที่นั่นหรือ ไปเรียนตั้งแต่เล็กๆ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะมี Accent ฝรั่ง แต่ที่เราได้คือ international accent ซึ่งสามารถฟังและพูดได้กลมกลืนกับทุกชาติทั่วโลก และจากการที่ได้คุยกับคนต่างชาติ เค้าก็ชอบสำเนียงไทยเวลาพูดอังกฤษมากๆ มันป็นเอกลักษณ์ เหมือนเวลาที่เราคุยกับเพื่อนที่มาจากอีสาน หรือ ภาคอื่นนั่นแหละ ลึกๆแล้วเราก็รู้สึกดีกับสำเนียง หรือกลิ่นอายของเอกลักษณ์ในความเป็นภาคต่างๆเช่นกัน หรือไม่ใช่?