วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Past Simple Continuous Tense

Past Simple Continuous Tense : โครงสร้างประโยค จะประกอบด้วย
Subject ประธาน + was, were + Verb 1 + ing ใช้เมื่อผู้พูดต้องการบรรยาย เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตและทุกอย่างได้จบสิ้นไปหมดแล้วขณะที่พูด
Past Simple Tense : โครงสร้างประโยคจะประกอบด้วย
Subject ประธาน + Verb 2 ใช้เมื่อผู้พูดต้องการบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบไปเรียบร้อยแล้ว หรือ เมื่อใช้คู่กับ Past Simple Continuous Tense จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดแทรกขึ้นมาในขณะที่มีเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดอยู่ในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น
1. I was walking when the bus arrived. ฉันกำลังเดินอยู่ ขณะนั้น รถเมล์ก็มา ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขึ้นก่อนคือ ฉันกำลังเดินอยู่ดีดี ให้ใช้ Past Simple Continuous ส่วนอยู่ๆ รถเมล์ก็มา รถเมล์มาทีหลังจะใช้ Past Simple เพื่อให้คนฟังเข้าใจว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง โดยไม่งง ฟังทีเดียว ประโยคเดียว ก็รู้เรื่องหมดทุกอย่าง ไม่เยิ่นเย้อ แต่คนพูด คิดแทบตาย 5555 ไม่หรอก สักพักนึง พอเราเริ่มชิน ไอ้ คำพูดพวกนี้มันก็จะพรั่งพรูออกมาเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกลัวนะครับ )
2. She was sleeping in the bedroom when the thief came in . เธอกำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอน ในขณะที่โจรเข้าไปในบ้าน ( ไหน ลองคิดดูซิ ว่าอะไรเกิดก่อน แน่นอนที่สุด เธอต้องเข้าไปนอนในห้องนอนก่อนแหงๆ ก็เลยต้องใช้ Past Simple Continuous ส่วนในขณะที่โจรเข้าไปในบ้าน โจรนั้นเข้ามาทีหลังจึงต้องใช้ Past Simple ไง )
3. P’ Aui was having dinner while I was playing football outside. ในขณะที่พี่อุ้ยกำลังทานอาหารเย็นอยู่นั้น ฉันก็กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ขางนอกโน่น ( กรณีนี้ เราใช้คำ While เป็นตัวเชื่อมประโยค สอง ประโยค ที่เหตุการณ์ดำเนินไปพร้อมๆกัน เหตุการณ์แรกคือ พี่อุ้ยกำลังกินข้าว เหตุการณ์ที่สองคือ ฉันกำลังเตะบอล จะเห็นได้ว่า สองเหตุการณ์เกิดขนานกันไป ซึ่ง โดยปกติแล้ว While นี้ สามารถ เป็นคำเชื่อมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้ ทั้ง Past simple และ Present Simple ยกตัวอย่างกรณีที่เป็นปัจจุบันก็เช่น I am going to school while my mother is sleeping . ตอนนี้ฉันกำลังไปโรงเรียน ส่วนแม่ฉันก็กำลังนอนอยู่ เป็นต้น ง่ายมั๊ยล่ะ
4. While Tor was playing the piano ,I walked in. ขณะที่ต่อกำลังเล่นเปียโนอยู่นั้น ฉันก็เดินเข้ามา ( กรณ๊นี้ แสดงให้เห็นว่า เราสามารถบรรยาย เหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันได้ โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนนั้น จะมี While นำหน้าประโยค เพื่อให้รู้ว่า เหตุการณ์นั้นเกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ในอดีต จู่ๆก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรก ตามตัวอย่าง
5. What were you saying when the English class started ? เอ๊ะ ตอนนั้นคุณกำลังพูดอะไรอยู่นะ ตอนที่วิชาภาษาอังกฤษเริ่มน่ะ ( อันนี้ ลองคิดดูซิว่า อะไรเกิดก่อน เกิดหลัง )
เอาล่ะ ทีนี้ เรามาดูหลักการใช้กัน
1. เราจะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นตอนที่พูด ทุกอย่างจบไปหมดแล้ว แต่ผู้พูดมีเวลาในอดีตที่บ่งไว้อย่างชัดเจน เช่น
- They were speaking English with me at eleven o'clock yesterday. พวกเค้ากำลังคุยกับฉันเป็นภาษาอังกฤษอยู่กับฉันตอน สิบเอ็ดโมงเมื่อวานนี้
- At ten o'clock last night we were watching news on television. เมื่อคืนตอนสี่ทุ่ม พวกเรากำลังดูข่าวในทีวีอยู่
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินพร้อมกันอยู่ในอดีต เป็นเวลานานพอสมควร ในช่วงเวลาเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้ เราจะใช้ past continuous กับทั้งสองเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น
- The GHB students were thinking about their lunch while the teacher was explaining new grammar. นักเรียน ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำลังคิดถึงเกี่ยวกับอาหารเที่ยง ในขณะที่คุณครูเองก็กำลังสอนเกี่ยวกับเรื่อง ไวยากรณ์หัวข้อใหม่ ( อันนี้สาบานได้ว่า ไม่ได้เอาเหตุการณ์จริงมาเล่านะ ยกขึ้นมาลอยๆ 55555 ) อธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Two long actions were happening at the same time in the past เท่มั๊ยล่ะ 555
- She was singing as I was dancing on the floor. As ในที่นี้ หมายความว่า ขณะที่ ดังนั้น ประโยคนี้ จึงหมายความว่า เธอกำลังร้องเพลงอยู่ ในขณะที่ฉันเองก็กำลังดิ้นอยู่บนฟลอนั่นเอง สังเกตดูนะว่า ทุกตัวอย่างที่ยกมานั้น เหตุการณ์ต่างๆ จะต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่ง เสมอ จึงจะสามารถใช้ Continuous ได้ การกระพริบตาหนึ่งครั้ง จะไม่สามารถใช้ Continuous ได้โดยเด็ดขาด เพราะใช้เวลาสั้นมากๆ ตรงนี้ เราจะเอาไว้ขยายความกันอีกทีในห้องเรียน ในกรณีที่ยังไม่เข้าใจ
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆ เข้ามาแทรก แหม ต้องขออธิบายเป็นภาษาอังกฤษหน่อยละกัน The first action was happening when the second ,shorter action happened.
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ตอนนั้นให้ใช้ past continuous
เหตุการณ์สั้นๆ ที่เข้ามาแทรก ให้ใช้ past simple อันนี้เคยเล่าไปแล้วตอนต้นไง ยกตัวอย่างเช่น
- The students laughed at him while he was acting like a clown.
นักเรียนทั้งหลายหัวเราะเขา ในขณะที่เขากำลังทำท่าทางเหมือนตัวตลก
- When I came home yesterday, my mother was talking on the telephone. ตอนที่ฉันถึงบ้านเมื่อวานนี้น่ะนะ แม่ฉันก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เลย
- While/As I was walking past the Soi , I heard a very loud scream. ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านซอยนะ ฉันก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังมากๆเลย
ข้อสังเกตนะครับ Clause ที่ตามหลัง when (แปลว่า เมื่อ หรือ ตอนที่ ก็ได้ แล้วแต่โอกาส ) มักใช้ past simple ส่วน clause ที่ตามหลัง while ,as ( แปลว่า ในขณะที่ )มักใช้ past continuous
4. ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำซากในอดีต ในเวลาที่บ่งไว้ชัดเจน
- Last year he was working until 9.00 pm. every day. ปีที่แล้วเนี่ยนะ เค้าทำงานยันสามทุ่มทุกวันเลย
- We were visiting my parents every evening while we were in Bangkok. เราไปเยี่ยมพ่อแม่เราทุกเย็นเลยนะ ตอนที่เราอยู่กรุงเทพ
สำหรับสองตัวอย่าง นี้ ถ้าเราขี้เกียจใช้ Past con ตำรวจก็ไม่จับนะ อยากใช้แค่ Past simple ก็ได้ ไม่มีใครว่าครับ เป็นแบบนี้ก็ได้ เช่น last year he worked until 9.00 pm. everyday . เพราะมีความหมายเหมือนกับรูปประโยคที่ใช้ past simple Continuous และเรานิยมใช้กับ past simple มากกว่าด้วย เพราะฉะนั้น เอาแบบง่ายเข้าว่าก็น่าจะดี 5555

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Adverbs 1

วันนี้ เราจะมาคุยเรื่อง adverbs กันนะครับ จะว่าไป adverbs เป็นตำที่มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างความรู้สึกให้กับคนฟังได้ดีมากๆเลย เพราะจะช่วยให้คำพูดคำจามีสีสันมากขึ้น แถมวิธีการใช้ก็ไม่ยากเลย อยากใส่เข้าไปในประโยคตอนไหนก็ได้ จะตอนแรก ตอนท้าย ตอนกลาง ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าเผลอเอาไปวางไว้หน้าคำนามก็แล้วกัน เอาล่ะ เราจะมาพูดกันเป็นแบบวิชาการล่ะนะ
Adverbs (คำกริยาวิเศษณ์) ก็คือ คำที่ใช้ขยายคำกริยา (verb) , ขยายคุณศัพท์ (adjective) และขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverb) หรือตัวมันเอง ก็ได้ ( แหม ประโยชน์เยอะจัง ลองเปรียบเทียบกับคำคุณศัพท์ หรือ Adjective คำคุณศัพท์ใช้ขยายแค่คำนามเท่านั้น จำกันได้มั๊ยเนี่ย )
หน้าที่ของ Adverb
1. ใช้ขยายคำกริยา (verbs) เช่น
She eats greedily. (เธอกินแบบตะกละตะกลาม ขยายว่า กิริยาอาการกินของเธอนั้น กินแบบไหน)
2. ใช้ขยายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
She is very beautiful. ( เธอสวยมากๆ ขยายให้คนฟังรู้ว่า ที่สวยนั้น สวยแค่ไหน)
3. ใช้ขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) ด้วยกันเอง เช่น
That boy runs very quickly. ( เด็กชายคนนั้นวิ่งเร็วมาก คนพูดอยากให้คนฟังรู้ว่า เด็กคนนั้นวิ่งเร็วแค่ไหน )
ชนิดของ Adverb
1. Adverb of Manner เป็น adverb ที่บอกอาการหรือลักษณะการกระทำ ใช้ตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย How? (อย่างไร ) เช่น hard = หนัก , fast = อย่างเร็ว , beautifully = อย่างสวยงาม , happily = อย่างมีความสุข เป็นต้น ( แนะนำว่า เวลาแปลเป็นภาษาไทย เรามักใส่คำว่า อย่าง หรือ โดยเข้าไปข้างหน้า จะทำให้ได้ใจความสละสลวยมากขึ้น ) ทีนี้ก็มาถึง ตำแหน่งของมันในประโยค ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง ตำแหน่งที่นิยมกันคือ
1. หลัง Verb หรือคำกริยา เช่น It moves quickly. ( มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
2. หลัง Direct Object หรือกรรมตรง เช่น He looks at me angrily. ( เขาจ้องมองดูฉันอย่างโกรธๆ )
หมายเหตุ ที่มาของ Adverb of Manner ก็ได้มาจากการเติม -ly ข้างท้าย adjective แต่ถ้า adjective ตัวนั้นลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a , e , i ,o , u ก็ให้เปลี่ยน y เป็น i ก่อนแล้วจึงเติม –ly เช่น Happy หน้า Y เป็นพยัญชนะ หาใช่สระไม่ ( แหม สำนวน เน่าจริงๆ 55555 ) ก็ให้เปลี่ยน Y ให้เป็น i ก่อน แล้วค่อย เติม Ly กลายเป็น Happily
แต่ก็มีคำยกเว้นบางคำเช่น good ไม่ใช่ Goodly นะ แต่ต้องจำไว้ว่า ให้ใช้คำว่า well แทน
และอีกอย่าง คำบางคำที่เป็นได้ทั้ง adjective และ adverb เช่น hard , fast , late , early , last , straight เป็นต้น
2. Adverb of Degree บอกระดับความเข้มข้น เช่น very = มาก , quite , pretty = ค่อนข้าง หรือ ทีเดียว , rather = มากกว่าที่จะ หรือ ค่อนข้างที่จะ , almost = เกือบจะทั้งหมด หรือ เกือบจะ , extremely = อย่างยิ่ง สุดๆ , too = มากเกินไป ส่วนตำแหน่งในประโยคนั้น นิยมใช้ดังนี้
1. วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ ( Adjective ) เช่น It's very cold. ( แหม มันหนาวจัง )
2. วางไว้หน้าคำวิเศษณ์ ( adverb ) เช่น She sings extremely nicely. ( เธอร้องเพลงได้เพราะสุดๆ ไปเลย ) เป็นต้น
3. Adverb of Place ใช้บอกตำแหน่ง เช่น up , down , here , there เป็นต้น
ตัวอย่างประโยค -- Khun Toom came here last week. (วางอยู่หลังคำกริยา came )
4. Adverb of Frequency ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes ที่สามารถอยู่ต้นประโยคได้
เช่น always มักจะ หรือ เสมอๆ ,usually เป็นประจำ , often บ่อยๆ , sometimes บางครั้ง, seldom นานๆครั้ง , never ไม่เคย
Examples: Khun Nut always goes to office early. ( คุณนัท มักจะไปที่ทำงานแต่เช้า )
Khun Mol usually has dinner at 6.( คุณมล ทานเข้าเย็น ตอนหกโมงเย็นเป็นประจำ เราสามารถพูดแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเติมคำว่า am pm เพราะเราเข้าใจว่าผู้ฟังน่าจะฉลาดพอที่จะเข้าใจได้ว่า เป็นเวลาไหนของวัน)
5. Adverb of time บอกจุด หรือ ช่วงของเวลา เช่น Tonight (คืนนี้) , during summer (ระหว่างฤดูร้อน) , early (แต่เช้าตรู) , tomorrow (พรุ่งนี้) , yesterday (เมื่อวานนี้) , soon (ในไม่ช้า) เป็นต้น สำหรับตำแหน่งในประโยค ก็เช่น ไว้ท้ายประโยค I will go to Chiengmai next month. หรือวางไว้ต้นประโยค เมื่อต้องการเน้น เช่น Tomorrow I am going to tell you the truth.
วันนี้ ขอเท่านี้ก่อนนะครับ บาย